เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสถานบริการ โคปา คาบาน่า พบค่านำไฟฟ้าของน้ำสูงเกินมาตรฐาน ขณะที่สื่อดังอังกฤษ เผยพื้นที่บางส่วนของกรุงเทพฯ อาจจมน้ำในปี 2030
พันตำรวจเอกสุวัฒน์ อินทสิทธิ์ รองผู้บังคับการตำรวจปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ ปทส. พร้อมเจ้าหน้าที่อีโอดี นำกำลังพร้อมกับเครื่องสแกน เข้าตรวจ สถานบริการโคปา คาบาน่า เอ็นเตอร์เทนเมนต์ รีสอร์ท แอนด์ สูท ซอยรัชดา 17 ซึ่งมี นางสาวศศิธร วิระเทพสุภรณ์ ผู้ต้องหาในคดีร่วมกันค้ามนุษย์ และอื่นๆรวม 13 ข้อหา เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เพื่อค้นหาเบาะแสการลักลอบใช้น้ำบาดาล โดย พันตำรวจเอกสุวัฒน์ ระบุว่า ค่าการนำไฟฟ้าของ การประปานครหลวง วันนี้อยู่ที่ 388 ไมโครซีเมนส์ต่อเซนติเมตร ซึ่งเจ้าหน้าที่นำตัวอย่างน้ำประปาจากคอนโดมิเนี่ยม และร้านล้างรถใกล้กับสถานบริการ มาเปรียบเทียบ เบื้องต้นผลการตรวจค่าการนำไฟฟ้าของน้ำประปา ภายในสถานบริการ พบมีค่าสูงเกินมาตรฐาน ถึง ค่า 568 ไมโครซีเมนส์ต่อเซนติเมตร รวมทั้งพบบ่อพักน้ำบาดาลทั้งหมด 3 จุด ภายในสถานบริการ ทั้งนี้จะนำตัวอย่างน้ำประปาไปเข้าห้องตรวจ เพื่อหาค่าการนำไฟฟ้าอย่างละเอียดอีกครั้ง หากพบว่ามีการลักลอบใช้น้ำบาดาล จะมีความผิดตาม พรบ.การประกอบกิจการน้ำบาดาล พ.ศ.2520 มีอัตราโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน
โดยการตรวจค้นวันนี้ ยังคงเป็นปฎิบัติการต่อเนื่อง ในการเข้าตรวจสอบการลักลอบใช้น้ำสถานอาบอบนวดในเครือข่าย ของนายกำพล วิระเทพสุภรณ์ เจ้าของวิคตอเรียซีเคร็ท หลังจากที่เมื่อวานนี้ เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจ สถานบันเทิงสุดหรูที่มีชื่อว่าเดอะลอดจ์พาเลซโฮเทลแอนด์สปา ซึงเป็นสถานบันเทิงที่หรูและแพงที่สุดในย่านรัชดา
นอกจากนี้ เว็บไซต์ The Sun สื่อในอังกฤษ รายงานข่าวไปทั่วโลกว่า เจ้าหน้าที่ทางการไทยหลายหน่วยงาน ทั้งตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) และกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ลงพื้นที่ตรวจสอบการลักลอบใช้น้ำบาดาลภายในสถานบริการอาบอบนวดในพื้นที่ของกรุงเทพมหานครนั้น บรรดาเจ้าหน้าที่ด้านสิ่งแวดล้อมเตือนว่า การลักลอบใช้น้ำบาดาลในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บริเวณริมสองฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้กรุงเทพฯ ‘กำลังจมน้ำ’ บางส่วนอาจจมน้ำภายในปี ค.ศ.2030 หรืออีก 12 ปีข้างหน้า