ราชกิจจาฯ แพร่ประกาศเก็บภาษี “กองทุนรวมตราสารหนี้” ในอัตรา 15% ของรายได้ดอกเบี้ย คาดรัฐเก็บภาษีได้มากกว่า 2,000 ล้านบาท/ปี
เมื่อวันที่ 24 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ที่ผ่านมา เว็บไซด์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 52) พ.ศ.2562 และให้พ.ร.บ.ฉบับนี้มีผลบังคับเมื่อพ้นกำหนด 90 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
สำหรับสาระสำคัญของพ.ร.บ.ฉบับนี้ กำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีเงินได้ สำหรับผู้ที่ลงทุนในตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวม ในอัตรา 15% ของรายได้ดอกเบี้ย จากเดิมที่ลงทุนกองทุนรวมตราสารหนี้ไม่ต้องเสียภาษี
ส่วนวิธีการจัดเก็บภาษีนั้น บริษัทผู้ออกตราสารหนี้จะหักภาษีดอกเบี้ย 15% จากกองทุนรวมที่เข้ามาลงทุน ก็ต่อเมื่อกองทุนมีผลตอบแทนจากรายได้จากดอกเบี้ยแล้ว และให้นำส่งกรมสรรพากร ส่วนนักลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาที่ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ จะไม่ต้องเสียภาษีดอกเบี้ยในส่วนนี้อีก เนื่องจากผู้ลงทุนจะถูกหักภาษีไว้แล้ว
ส่วนเหตุที่ต้องประกาศใช้พ.ร.บ.ฉบับนี้ เนื่องจากปัจจุบันการลงทุนในตราสารหนี้โดยตรง มีภาระภาษีที่แตกต่างกับการลงทุนในตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวม และเพื่อให้ภาระภาษีจากการลงทุนทั้ง 2 ประเภทดังกล่าวมีความสอดคล้องกัน จึงต้องปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้จากกองทุนรวมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมาย
ข้อมูลจากสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) ระบุว่า ณ สิ้นเดือนเม.ย. 2562 อุตสาหกรรมกองทุนรวมที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 5.27 ล้านล้านบาท เฉพาะกองทุนรวมตราสารหนี้ มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (เอ็นเอวี) อยู่ที่ประมาณ 2.62 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของทั้งอุตสาหกรรมกองทุนรวม
ดังนั้น การเก็บภาษีจากรายได้ดอกเบี้ยดังกล่าว คาดว่าจะทำให้ภาครัฐมีรายได้จากการจัดเก็บไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาทต่อปี โดยอยู่บนสมมุติฐานกองทุนรวมที่ลงทุนถือตราสารหนี้ระยะยาวได้รับอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 2% ต่อปี
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) 28 ส.ค.2561 ครม.มติเห็นชอบร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (การจัดเก็บภาษีเงินได้จากการลงทุนในตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวม)
โดยครั้งนั้นกระทรวงการคลังประเมินว่า ณ วันที่ 31 ต.ค.2560 มีกองทุนรวมถือครองตราสารหนี้ภาครัฐในประเทศรวม 553,712 ล้านบาท หากหากคำนวณจากอัตราดอกเบี้ยตราสารหนี้ภาครัฐในประเทศในปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ประมาณ 2-3% บนสมมติฐานว่ากองหุนรวมต่าง ๆ มิได้เปลี่ยนแปลงนโยบายการลงทุน ภาครัฐจะมีรายได้ภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้นอย่างน้อยปีละ 1,600-2,500 ล้านบาท หากรวมดอกเบี้ยที่กองทุนรวมไต้รับจากตราสารหนี้ภาคเอกชนในประเทศและตราสารหนี้ต่างประเทศ จะมีรายได้ภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้นมากกว่าจำนวนดังกล่าว
อ่านเพิ่มเติม : http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2562/A/067/T_0103.PDF