ราคานํ้ามัน โลกอาจพุ่ง หลังจากเหตุการณ์ถล่ม โรงกลั่นน้ำมันใหญ่ที่สุดของโลก ซาอุดี อารัมโก เมื่อวันที่ 14 ก.ย. ล่าสุดไทยเตรียมวางแผนรับมือแล้ว ยืนยันไม่เกิดเหตุการณ์ขาดแคลนน้ำมันแน่นอน
วันนี้ (17 ก.ย.) นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า หลังเหตุการณ์ที่ โดรน หรือ อากาศยานไร้คนขับถล่มโรงกลั่นน้ำมัน ซาอุดี อารัมโก ทำให้ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกเมื่อวานนี้ (16 ก.ย.) ขยับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 67 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล หรือเพิ่มขึ้น 6-7 เหรียญต่อบาร์เรล และส่งผลให้ราคาขายปลีกไทยขึ้นมา 1 บาทต่อลิตร
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า จากกรณีจะต้องใช้กองทุนน้ำมันที่มีเงินสะสม 39,400 ล้านบาท เข้ามาดูแล และหากราคาขายปลีกขึ้น 1 บาทต่อลิตรจะดูแลได้ ถ้าสถานการณ์ยืดเยื้อ 1 สัปดาห์ ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกจะเพิ่มขึ้น 5 เหรียญ และถ้ายืดเยื้อ 2-6 สัปดาห์ ราคาจะปรับขึ้น 5-15 เหรียญ
ทั้งนี้น้ำมันดิบที่ขึ้นทุก 1 เหรียญต่อบาร์เรล จะทำให้ราคาขายปลีกในประเทศปรับขึ้น 20 สตางค์ต่อลิตร และทุก 1 บาทต่อลิตร ซึ่งอาจต้องใช้เงินจากกองทุนฯ 1,500 ล้านบาท
ยอกจากนี้นายสนธิรัตน์ยังกล่าวว่า ประชาชนไม่ต้องกัลวลเพราะจะไม่เกิดภาวะขาดแคลนน้ำมันในประเทศแน่นอน เพราะปริมาณสำรองน้ำมันของไทยจะมีใช้ต่อเนื่องได้ถึง 54 วันโดยไม่ต้องนำเข้า
แบ่งเป็น
น้ำมันดิบ 38 วัน (ที่อยู่ระหว่างการขนส่งอีก 10 วัน)
น้ำมันสำเร็จรูปอีก 16 วัน
ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) ภาคครัวเรือน 23 วัน (หากรวมการใช้แอลพีจีภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่งแล้ว จะใช้ได้ 12 วัน)
สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 กันยายน ช่วง 04.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นของซาอุดิ อาระเบีย สำนักข่าวต่างประเทศ เอพี รายงานว่า
มีโดรนไม่ทราบฝ่ายเข้าโจมตีโรงผลิตและคลังเก็บน้ำมันในเมือง Buqyaq และ Khurais ซึ่งทั้งสองเป็นของบริษัท Saudi Aramco บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ที่สุดของประเทศในซาอุดิอาระเบีย เหตุโจมตีดังกล่าวทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้อย่างรุนแรง และมีกลุ่มควันขนาดใหญ่ จากเหตุการณ์ทั้งสองไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ซึ่งภายหลังกบฏฮูธิในเยเมนได้ออกมาอ้างความรับผิดชอบ
คลังน้ำมัน 2 แห่งในเมืองอับเคกและคูราอิส ทางภาคตะวันออก ถือเป็นโรงกลั่นน้ำมันใหญ่ที่สุดอันดับ 1 และอันดับ 2 ของประเทศซาอุดีอาระเบีย
ทั้งนี้ เมื่อเดือนเมษายน 2562 บริษัทอารัมโก ได้ประกาศผลประกอบการเป็นครั้งแรกเท่าที่จดจำกันได้ แสดงให้เห็นถึงเม็ดเงินกำไรมหาศาลของ บริษัทอารัมโก ที่พุ่งทะยานก้าวขึ้นเป็นบริษัทที่มีกำไรสูงสุดที่สุดในโลก โดยทำกำไรสุทธิในปี 2561 ได้ถึง 111,000 ล้านดอลลาร์ จากตัวเลขรายได้เกือบ 356,000 ล้านดอลลาร์ในปีเดียวกัน