เพจดังวิเคราะห์พฤติกรรม ไฮโซฮอต สร้างโปรไฟล์หรูหลอกลวงผู้หญิงและ คะน้า ริญญารัตน์ ชี้ชัดมันเลือกเหยื่ออย่างมีแบบแผน
เพจเฟซบุ๊ก CSI LA วิเคราะห์พฤติกรรมของ ไฮโซฮอต หรือ ไฮโซเก๊ สร้างโปรไฟล์หรูหลอกลวงดารา คะน้า ริญญารัตน์ และผู้หญิงอีกจำนวนมาก โดยใช้ทองคำ สร้อยเพชร เครื่องประดับ และรถยนต์หรู ตบตาสร้างภาพว่าเป็นไฮโซ
โดยเพจระบุข้อความว่า แอดขอวิเคราะห์คดี “ไฮโซเก๊หลอกหมอ” นี้สะท้อนถึงพฤติกรรมของมิจฉาชีพที่มีความซับซ้อน ทั้งด้านจิตวิทยา การวางแผน

1. การเลือกเหยื่ออย่างมีแบบแผน
นายฮอตเลือกเหยื่อที่มีลักษณะดังนี้:
• มีฐานะ: เป็นหมอ มีรายได้สูง
• มีจุดอ่อนทางอารมณ์และเวลา: ผู้หญิงที่อายุมากกว่า อาจมีความเหงา ไม่มีเวลาศึกษาเรื่องการเงิน-กฎหมาย
• ไม่ทันโลก: มีความเก่งเฉพาะทาง (การแพทย์) แต่ไม่มีภูมิคุ้มกันจากคนโกง
กลุ่มเหยื่อแบบนี้มักเชื่อคนง่าย โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายแสดงความ “รัก” หรือ “ดูแล” ทำให้มิจฉาชีพใช้เล่ห์กลทางอารมณ์ควบคู่กับการหลอกเรื่องเงิน

2. การสร้างสถานการณ์ทางการเงินเทียม
นายฮอตรู้ว่าหมอมีปัญหาเรื่องกฎหมาย เลยถือโอกาสสร้างเรื่อง “ค่าธุรกรรม / ค่าปรับ / ค่าทนาย” ซึ่งดูสมจริงและมีตรรกะสำหรับคนที่ไม่ชำนาญด้านกฎหมาย
• ขอครั้งละหลักแสนถึงหลักล้าน
• เสริมด้วยการสร้างความเร่งด่วน เช่น “ศาลจะยึดทรัพย์” “ต้องใช้ทนายด่วน” ฯลฯ
นี่คือเทคนิค Social Engineering แบบ High-Level ใช้ความสัมพันธ์กึ่งโรแมนติก + ความน่าเชื่อถือ + ความเร่งด่วนเพื่อเร่งเหยื่อตัดสินใจ
3. การบิดเบือนความสัมพันธ์ระหว่างเหยื่อกับบุคคลที่สาม
• กล่าวหาว่า “ทนายโกง” และ “ทนายไม่ชอบคุณ เพราะคุณไม่จ้างเขา”
• ทำให้หมอ “ไม่กล้าสื่อสาร” กับทนายโดยตรง
• ทำให้ฝ่ายหมอรู้สึกว่า “ต้องพึ่งนายฮอตคนเดียว”

นี่เป็นการ ตัดช่องทางความจริง เหยื่อจะถูกกักให้อยู่ในความสัมพันธ์แบบ “ทางเดียว” คือรับข้อมูลจากคนร้ายอย่างเดียว ซึ่งเป็นเทคนิคระดับจิตวิทยาขั้นสูงของนักโกงมืออาชีพ
4. การสร้างภาพลักษณ์ด้วย “ทรัพย์สินปลอม”
• ใส่ ทองปลอม / นาฬิกาหรูปลอม มีเงินฝากในบัญชี นับร้อยล้านเพื่อหลอกว่าเป็นไฮโซตัวจริง
• นั่งรถหรู (เช่า/ยืม), ถ่ายรูปกับสถานที่หรู, ทำตัวรู้จักคนดังในวงสังคม
เทคนิคนี้เรียกว่า “Affluence Mirage” – ใช้ภาพลักษณ์รวยลวงตา เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ดึงดูดเหยื่อให้เชื่อว่า “เขาต้องไม่เดือดร้อนเรื่องเงินแน่นอน”
เหยื่อจึงไม่ระวังใจเวลาถูกขอเงิน เพราะคิดว่า “เขาคงคืนให้ได้”
5. การแอบอ้าง “เบื้องสูง” หรือผู้มีอำนาจ
• กล่าวอ้างว่ารู้จักหรือมีความเกี่ยวข้องกับบุคคลระดับสูง เช่น คนในสถาบัน ทหารใหญ่ หรือรัฐมนตรี
• ใช้ชื่อบุคคลจริง หรือระดับยศสูง สร้างความกลัวหรือศรัทธา
เป็นเทคนิค “อ้างอิงอำนาจเพื่อปิดปากเหยื่อ”
เหยื่อจะรู้สึกว่าไม่กล้าสืบ ไม่กล้าถาม ไม่กล้าร้องเรียน เพราะกลัวมี “ผู้มีอำนาจหนุนหลัง”
บางรายอาจเชื่อจริงๆ ว่า ถ้าขัดใจหรือแจ้งความจะมีอันตราย
6. การควบคุมอารมณ์เหยื่อ
• สลับบทเป็นคนดี / เหยื่อ / ผู้มีอำนาจ / คนมีเส้น / คนเจ็บปวด เพื่อบีบเหยื่อในสถานการณ์ต่างๆ
• บางช่วง “พูดจาหวาน” หรือ “วางแผนอนาคตร่วมกัน” เพื่อปลูกความหวัง
• บางช่วง “ขู่” หรือ “กล่าวหาว่าไม่รัก / ไม่ไว้ใจ” เพื่อสร้างแรงกดดันทางอารมณ์
เป็นพฤติกรรมคล้าย “Emotional Manipulation + Gaslighting” ทำให้เหยื่อสับสน ไม่แน่ใจในความผิดของตัวเอง และกลัวจะเสียเขาไป
สรุป:
คดีนี้สะท้อนว่า แม้จะเป็นคนมีความรู้ ก็อาจตกเป็นเหยื่อได้ หากเจอมิจฉาชีพที่วางแผนแนบเนียน สร้างโปรไฟล์ดูดี ตีสนิทไว อ้างความสัมพันธ์กับคนมีอำนาจ และโชว์หลักฐานปลอมที่ดูเหมือนจริงทุกอย่าง
อย่าเชื่อคำหวานหรือภาพลักษณ์หรูเพียงผิวเผิน
ควรตรวจสอบพื้นฐานของคนที่เข้ามาในชีวิต เช่น ค้นชื่อ ดูประวัติ หรือปรึกษาคนรอบข้าง
หากพบพฤติกรรมแปลกหลายข้อพร้อมกัน — ถอยทันที
เพราะบางครั้ง ความหวานที่ดูจริง อาจมีพิษซ่อนอยู่ และเราอาจต้องเสียทั้งเงินและหัวใจโดยไม่รู้ตัว

ขอบคุณเฟซบุ๊ก CSI LA