คุณตาวัย 84 สังหารโหดใช้ปืนลูกซองยิงหลานชายวัย 25 ปีก่อนทิ้งศพถูกฝังทิ้งไว้กลางไร่มันมานานกว่า 5 วัน เกิดสำนึกผิดโร่เข้ามอบตัวบอกเจ้าหน้าที่ช่วยไปขุดศพขึ้นมาขอรับโทษต่อตำรวจ พร้อมสารภาพหลานปรี่เอามีดหวังทำร้ายตน
เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรแก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ และเจ้าหน้าที่กู้ภัย ช่วยกันขุดศพเพศชายถูกฝังไว้ในไร่มันสำปะหลัง หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจาก นายมี ดังชัยภูมิ อายุ 84 ชาวบ้าน ม.8 ต.โคกล่าม อ.แก้งคร้อ เนื่องจากมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับหลานชายซึ่งเป็นลูกของลูกสาวตัวเอง อายุ 25 ปี ชื่อ นายนพรัตน์ บัวคำ ก่อนใช้ปืนสั้นไทยประดิษฐ์ยิงจนเสียชีวิตหน้ากระท่อมกลางทุ่งนา ก่อนลากศพหลานชายไปฝังและเอาปืนที่ใช้ในการก่อเหตุฝังดินกลางทุ่งนาห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 200 เมตร นอกจากนี้ ยังผาทำลายคราบเลือดที่หยดตามทางที่ลากศพตลอดทั้งคืนจนถึงฟ้าสาง เมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุ นายมี ทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผ่านไป 5 วัน ชาวบ้านใกล้เคียงเริ่มถามหาหลานชายที่หายหน้าไปหลายวัน จนตัวเองไม่สบายใจและสำนึกผิด ก่อนตัดสินใจเข้ามอบตัวกับตำรวจ
จากการสอบสวน นายมี ดังชัยภูมิ ให้การว่า ผู้ตายคือ นายนพรัตน์ บัวคำ อายุ 25 ปี ซึ่งเป็นลูกของลูกสาวตนเองนำมาเลี้ยงตั้งแต่เล็กจนโต เนื่องจากแม่ผู้ตายนั้นไปทำงานต่างประเทศ ซึ่งผู้ตายไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง และมักจะแอบขโมยข้าวเปลือกที่ตนเองทำนาได้มาปีละครั้งนำไปขายเพื่อเอาเงินไปเที่ยวเตร่เป็นประจำ ซึ่งที่ผ่านมาก็ว่ากล่าวตักเตือนมาตลอด
เมื่อถึงวันเกิดเหตุตนเองทนไม่ไหวทะเลาะกับหลานชายทางโทรศัพท์อย่างรุนแรง จนค่ำวันนั้น คุณตาอ้างว่า นายนพรัตน์ หลานชายขี่รถจักรยานยนต์มาหาตนเองถึงบ้าน จอดรถเสร็จวิ่งปรี่เข้ามาหาตนพร้อมด้วยอาวุธมีดปลายแหลมยาวประมาณ 1 ฟุต พร้อมกับตะโกนว่า “ไอ้แก่วันนี้เป็นวันตายของมึง” ตนเองที่ยืนอยู่หน้าบ้านเมื่อเจอหลานตะโกนขู่ฆ่า คว้าปืนสั้นลูกซองไทยประดิษฐ์เบอร์ 12 ยิงป้องกันตัวไป 1 นัด กระสุนเจาะเข้าหน้าอกหลานชายเสียชีวิตคาที่ แต่เกิดกลัวความผิดเลยลากศพหลานไปฝังในไร่มันสำปะหลังและนำปืนฝังดินในที่นา และใช้ฟางก่อไฟเผากองเลือดที่เกิดตามรอยลากศพทั้งหมดเพื่อทำลายหลักฐานอำพรางคดี
หลังจากทำแผนประกอบคำรับสารภาพเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และซ่อนเร้นอำพรางศพและครอบครองหรือมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งผู้ต้องหายอมรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และควบคุมตัวไปดำเนินคดีต่อไป