ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ควบคุมตัวแม่เล้าขบวนการค้ามนุษย์ ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน มาทำการสอบสวนเพิ่ม โดยมีรองผู้บัญชาการตำรจแห่งชาติ เป็นผู้สอบปากคำด้วยตัวเอง
หลังจากตำรวจกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 5 ราย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเป็นแม่เล้า ในพื้นที่จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อเข้าสู่กระบวนการสอบสวนเพิ่มเติมกับ พลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยร่วมสอบนานกว่า 5 ชั่วโมง ทั้งนี้ ได้มีมารดาของเหยื่อผู้เสียหาย มาชี้ตัวบุคคล ว่าผู้ต้องหาที่จับกุมมา เป็นผู้กระทำความผิดตามกล่าวอ้างจริง
โดยทั้ง 5 คนนี้ ประกอบด้วย นางสาวกัลยา วุฒิคุณ/ นายมงคล เกียรติภัคคีพงศ์ /นางสาวขวัญหทัย ฤกษ์อุดม /นางสาวปัทมพร อิ่มแก้ว / และ นางสาวกนกวรรณ รัตนภักดี ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายจับ ในข้อหา ค้ามนุษย์และร่วมกันค้ามนุษย์เพื่อแสวงหาผล ประโยชน์โดยมิชอบจากการค้าประเวณีไม่ว่า บุคคลนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ซึ่งผู้ต้องหาทั้งหมดนี้ ปฏิเสธข้อกล่าวหา
https://youtu.be/PQIU8r4oj1o
นอกจากนี้ หนึ่งในผู้ต้องหา ได้นำหลักฐานเป็นแชทไลน์ที่มารดาของเด็กพูดคุยกับ ลุงพัน ทำงานอยู่ในหน่วย กอ.รมน. (ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง) ในลักษณะพาดพิงถึงตนเอง และผู้ต้องหารายอื่น รวม 6 คน ที่ถูกออกหมายจับ โดยปรากฏชื่อนามสกุล และข้อมูลส่วนตัวชัดเจน ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ตนเองกับพวกจึงขอหลักฐานจากลุงพันไปร้องทุกข์ที่ศูนย์ดำรงธรรม จังหวัดแม่ฮ่องสอนมาแล้ว แต่ทั้งนี้ไม่ได้สนิทสนมกับลุงพัน แต่ยอมรับเคยนั่งดื่มสุราด้วยกันเท่านั้น
ขณะที่ มารดาของเด็กที่ถูกบังคับค้าประเวณี ได้มาชี้ตัวผู้ต้องหา โดยยืนยันว่า ผู้ต้องหาหญิงทั้ง 4 คน เป็นคนที่ลูกสาวซัดทอด ว่าเป็นกลุ่มแม่เล้าที่พาไปค้าบริการจริง ส่วนผู้ต้องหาผู้ชายนั้นตนเองไม่รู้จัก ยืนยันเด็กที่ถูกผู้ต้องหาพาไปค้าบริการมีประมาณ 20 คน
ซึ่งเด็ก ยืนยันว่า ถูกพาไปค้าบริการกับผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนคนปัจจุบันจริง เมื่อปลายเดือนกันยายน ขณะที่ผู้ว่าลงไปสำรวจพื้นที่ก่อนจะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 1 ตุลาคม 2559 /
นอกจากนี้มารดาของเด็ก ยังระบุว่า ได้ส่งหลักฐานบทสนทนาทางโทรศัพท์ที่ลุงพัน โทรมาสอบถามข้อมูลทางคดี และอ้างว่ามีรองผู้ว่าฯ ชื่อ สมเจต ซึ่งดูแลเรื่องทหาร จะขอช่วยเหลือทางคดี ทำให้เห็นว่า กลุ่มของลุงพัน มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ต้องหา ซึ่งข้อมูลทั้งหมดได้บันทึกเสียงไว้และส่งให้ตำรวจ ปคม. ดำเนินการแล้ว
ส่วนเรื่องการใช้เคนื่องจับเท็จนั้น พลตำรวจเอกศรีวราห์ บอกว่า หากผู้ต้องหาไม่ยินยอม ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องจับเท็จ ในส่วนของสำนวนหลักฐาน มีความหนักแน่นพอที่จะเอาผิดกับกลุ่มคนเหล่านี้ และสำหรับ จะมีการดำเนินคดีกับรองผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่ชื่อ สมเจต หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน
ขณะเดียวกัน วันนี้ศาลได้ออกหมายเรียกตำรวจ 6 นาย ยศสูงสุดคือพันตำรวจโท ซึ่งเกี่ยวข้องกับการซื้อบริการกับแก๊งค้ามนุษย์รายนี้ ตนเองจึงได้กำชับว่าเมื่อผู้ต้องหาเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหา ให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง และให้ออกจากราชการไว้ก่อน
โดยในวันศุกร์นี้ พลตำรวจเอกศรีวราห์พร้อมคณะ จะลงพื้นที่ติดตามความหน้าที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อเร่งรัดขยายผลจับกุมกลุ่มผู้ซื้อบริการ ทราบว่า มีจำนวน 33 คดี พร้อมทั้งสั่งให้ ปคม. ขยายผลถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และหลังจากนี้จะนำตัว ผู้ต้องหาฝากขังที่ สน.ทุ่งสองห้อง ต่อไป