จากกรณีที่ นายพันธุ์ชัย ศรีพสุทวี อายุ 51 ปี โชเฟอร์แท็กซี่ถูกทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิตบริเวณริมฟุตปาธปากซอยเภตรารัตน์ แขวงถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี กรุงเทพฯ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลพญาไท จับกุมตัว 2 ผู้ต้องหาและให้การรับสารภาพ อ้างผู้ตายเอาไปและมาขายคืนโดยแค่ซ้อมไม่ถึงตาย ซึ่งเจ้าหน้าที่นำตัวมาทำแผนประกอบคำรับสารภาพทันที
ญาติของ นายพันธุ์ชัย ศรีพสุทวี อายุ 51 ปี โชเฟอร์แท็กซี่ถูกทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิตพยายามแหวกเข้ามาแล้วปรี่ชกต่อย นายสัมพันธ์ อึ่งทอง อายุ 52 ปี พร้อมด่าทอแต่ตำรวจสกัดและผลักดันกลับไปได้ก่อน โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลพญาไท เข้าจับกุม นายสัมพันธ์ และ นายศิขร ถาวรประเสริฐ หรือต้อง อายุ 23 ปี พร้อมแจ้งข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่น และพกพาอาวุธมีดไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร พร้อมนำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพจากกรณีที่ นายพันธุ์ชัย ศรีพสุทวี อายุ 51 ปี โชเฟอร์แท็กซี่ถูกทั้งคู่รุมทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิต ที่ริมฟุตปาธปากซอยเภตรารัตน์ แขวงถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี กรุงเทพฯ เมื่อเช้าวันที่ 19 มี.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งใช้เวลาประมาณ 30 นาทีจึงแล้วเสร็จ
พล.ต.ต.เสนิต สำราญสำรวจกิจ ผู้บังคับการ กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 เปิดเผยว่า สาเหตุการสังหารโหดครั้งนี้เกิดจาก นายสัมพันธ์ ต้องการทวงพระเครื่องจาก นายพันธุ์ชัย ผู้ตายซึ่งเป็นเพื่อนกันมา 10 ปี และเมื่อ 1 เดือนก่อน นายพันธุ์ชัย นำพระเครื่องที่ นายสัมพันธ์ ฝากไว้ขโมยแล้วมาขายคืน นายสัมพันธ์ ทำให้ นายสัมพันธ์ เสียใจที่เพื่อนทำแบบนี้จึงนัดให้มาเจอหน้ากันที่จุดเกิดเหตุโดยให้ นายศิขร ลูกน้องขี่รถจักรยานยนต์มาพบหน้าผู้ตาย จากนั้น นายสัมพันธ์ ทำร้ายร่างกายผู้ตายทันทีก่อนพาขึ้นรถยานยนต์ไปรุมซ้อมต่อในที่ลับตาจนสลบคาที่และพานั่งกลับมาที่จุดเกิดเหตุหวังอำพรางพาร่างผู้ตายเข้าไปนั่งในแท็กซี่ แต่รถเปิดไม่ได้จึงวางร่างผู้ตายไว้ที่จุดเกิดเหตุอย่างอนาถก่อนหลบหนีไป อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่และจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมดได้ในช่วงเย็นวานนี้ (19 มี.ค.61)
จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ โดยอ้างว่า ตนเองทำงานรับจ้างและรู้จักกับ นายพันธุ์ชัย มานาน แต่ไม่คิดว่าจะถูกหักเหลี่ยมกันแบบนี้และไม่ต้องการซ้อมถึงตายเพราะรู้ว่าผู้ตายเป็นโรคหอบ ส่วน นายศิขร เป็นลูกน้องและหลังซ้อมผู้ตายเสร็จก็คิดจะพาผู้ตายไปโรงพยาบาลแต่ นายสัมพันธ์ บอกจะพาไปส่งเองซึ่งทั้งคู่จะถูกดำเนินคดีต่อไป นอกจากนี้ ตำรวจได้ตรวจสอบประวัติพบว่า นายสัมพันธ์ ถูกครอบครองยาเสพติดและเสพยาเสพติดเมื่อปี 59 ในท้องที่ สน.ปทุมวัน และพกพาอาวุธปืน เมื่อปี 55 ในท้องที่ สน.มักกะสัน ส่วน นายศิขร มีคดีเสพยาเสพติดเมื่อปี 56 ท้องที่ สน.พญาไท ถึง 2 ครั้ง