เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรเมืองบุรีรัมย์ รวบหนุ่มหัวหมอดูข่าวจับยาบ้าในเฟซบุ๊ก ก่อนโทรศัพท์หลอกญาติผู้ต้องหา อ้างตัวเป็นรอง ผกก.เรียกรับเงินหลอกจะช่วยให้พ้นคดี
วันนี้ (28 เม.ย.61) พนักงานสอบสวน สภ.เมืองบุรีรัมย์ ควบคุมตัว นายชนะกันต์ ดาวสันเทียะ อายุ 35 ปี ชาว ต.บ้านกอก อ.เมืองนครราชสีมา หลังเป็นผู้ต้องหาคดีใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน มาสอบสวน หลังจากถูกตำรวจชุดป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภูธร จ.บุรีรัมย์ ติดตามจับกุมตัวได้ที่บ้านพักในพื้นที่ จ.นครราชสีมา
สืบเนื่องมาจากเจ้าหน้าที่ชุดป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ได้ติดตามกลุ่มนักค้ายาเสพติด ที่นำยาบ้ามาส่งในเขตพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ และสามารถจับกุมคนร้ายพร้อมขยายผลไปล่อซื้อในหลายจังหวัดในเขตภาคอีสาน ได้ของกลางในแต่ละพื้นที่เป็นจำนวนมาก แต่ต่อมามีญาติผู้ต้องหาคดีที่ถูกจับคดียาเสพติด มาติดต่อขอพบ พ.ต.ท.สยาม เกียรติบรรจง ชุดขยายผลปราบปรามยาเสพติดภูธรจังหวัด พร้อมกับนำเงินสดมามอบให้ 20,000 บาท สร้างความสงสัยและมึนงงให้กับเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมเป็นอย่างมาก เจ้าหน้าที่จึงคุมตัวมาสอบสวนจนทราบว่า ก่อนหน้านี้ได้โอนเงินให้บุคคลคนหนึ่งไปจำนวนเงิน 30,000 บาท เนื่องจากมีคนโทรศัพท์ไปแอบอ้างว่าเป็น “รองสยาม” หรือ พ.ต.ท.สยาม เกียรติบรรจง ว่าจะสามารถช่วยเหลือคดียาเสพติดได้ แต่มีค่าใช้จ่าย 50,000 บาท ตกลงจ่ายก่อน 30,000 บาท ที่เหลือให้มาจ่ายอีกที่บุรีรัมย์ จึงนำเงินมาจ่ายให้ตามสัญญา
เมื่อ พล.ต.ต.ชัยยุทธ เจียรศิริกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.บุรีรัมย์ ทราบเรื่องจึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมผู้ที่อ้างตัวเป็นตำรวจโทรศัพท์ไปหลอกให้โอนเงินมาดำเนินคดี เพราะเป็นการสร้างความเสื่อมเสียให้กับวงการตำรวจ กระทั่งสามารถจับกุมตัวนายชนะกันต์ ได้ที่บ้านพักในพื้นที่ จ.นคราชสีมา และนำตัวมาสอบสวนที่ สภ.เมืองบุรีรัมย์ ดังกล่าว
จากการสอบสวน นายชนะกานต์ ให้การรับสารภาพว่า เป็นคนโทรศัพท์แอบอ้างเป็นตำรวจจริง พร้อมให้การว่าตนเองเล่นอินเตอร์เน็ตกับโทรศัพท์ ก่อนเห็นเพจๆ หนึ่ง แจ้งเตือนขึ้นมา จึงกดเข้าไปดูพบว่ามีข่าวสารมากมาย และไปพบว่ามีการจับกุมยาเสพติด จึงเอาชื่อคนร้ายไปหาข้อมูลญาติผู้ต้องหาและตำรวจชุดจับกุม จนกระทั่งรู้เบอร์โทรศัพท์ของญาติผู้ต้องหา
จากนั้น นายชนะกานต์ โทร. ไปหลอกญาติผู้ต้องหาที่ถูกจับคดียาเสพติด โดยอ้างตัวว่าเป็นตำรวจยศรองผู้กำกับจริง ทั้งอ้างจะสามารถช่วยเหลือทางคดีได้ แต่ต้องมีค่าใช้จ่าย 5 หมื่นบาท เมื่อญาติผู้ต้องหาตอบตกลง นายชนะกานต์จึงได้ให้บัญชีธนาคารของเพื่อนน้องสาวที่ฝากไว้ส่งไปให้ญาติผู้ต้องหาเพื่อโอนเงินเข้า ทั้งอ้างว่าพึ่งทำเป็นครั้งแรก ส่วนเงินที่ได้รับโอนมาก่อนหน้านี้ ได้มอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไว้แล้ว 10,000 บาท ส่วนที่เหลือจะใช้คืนให้ผู้เสียหายจนครบจำนวน 50,000 บาทต่อไป
อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การของผู้ต้องหาว่า พึ่งเคยก่อเหตุเป็นครั้งแรก เบื้องต้นได้แจ้งข้อหานายชนะกานต์ “ผู้ใดใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” โดยหลังจากนี้เจ้าหน้าที่จะทำการสอบสวนเพิ่มเติมว่ามีบุคคลใดเกี่ยวข้องในการกระทำผิดบ้าง ก่อนจะคุมตัวขออำนาจศาลเพื่อฝากขังต่อไป