ตำรวจรวบหนุ่มโปแลนด์วางระเบิดตู้เอทีเอ็ม ธ.กรุงเทพชิงเงิน3แสนได้แล้ว เตรียมนำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพพรุ่งนี้
เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนนครบาล 4 สามารถจับกุมผู้ต้องหาก่อเหตุ ระเบิดตู้ เอทีเอ็มธนาคารกรุงเทพ หน้าห้างโลตัสเอ็กซ์เพรส สาขากรุงเทพกรีฑา แขวงสะพานสูง เขตประเวศ กทม. ก่อนฉกกล่องบรรจุเงินสดจากเซฟไป 314,100 บาท ท้องที่ สน.ประเวศ เมื่อวันที่ 13 กันยายน ที่ผ่านมาได้แล้ว 1 ราย เป็นชาวโปแลนด์ อายุ 38 ปี ทราบชื่อ นายกราคจานพาเวล สเตนิสซิวสกี เป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์และผู้ก่อเหตุวางระเบิด โดยเจ้าหน้าที่เตรียม แถลงข่าวความคืบหน้าคดีนี้ในวันที่ 27 กันยายน ก่อนจะนำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพต่อไป
รายงานข่าวจากชุดสืบสวนประกอบกับพยานหลักฐานต่างๆ ระบุว่า คนร้ายที่ก่อเหตุไม่ใช่คนไทย โดยเริ่มแกะรอยจากกล้องวงจรปิด ซึ่งเช็กย้อนหลังก่อนวันเกิดเหตุไป 3 วัน พบว่าวันที่ 11 และ 12 กันยายน ผ่านมาตรวจพบว่ากล้องวงจรปิดสามารถจับภาพชายต้องสงสัยลักษณะเป็นชาวต่างชาติขับขี่รถจักรยานยนต์มาดูลาดเลาป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ ก่อนลงมือก่อเหตุช่วงเช้ามืดวันที่ 13 กันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งจากกล้องวงจรปิดพบว่าคนร้ายใช้แก๊สหุงต้มจากถังแก๊สร้านไก่ย่างที่ใกล้เคียงกับตู้เอทีเอ็มดังกล่าว แล้วต่อสายอัดแก๊สเข้าไปในตู้เอทีเอ็ม จากนั้นก็ราดน้ำมันเบนซินจากตู้เอทีเอ็มมาเป็นทาง ก่อนใช้ไฟแช็กจุดไฟไหม้ไปถึงตู้เอทีเอ็มที่อัดแน่นด้วยแก๊สจนระเบิด นำเอากล่องเงินแล้วขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป
จากการสืบสวนยังพบอีกว่าคนร้ายได้ศึกษาการระเบิดตู้เอทีเอ็มดังกล่าวจากเว็บไซต์ชื่อดังแห่งหนึ่ง และพบว่าเตรียมการก่อเหตุด้วยการซื้อสติกเกอร์สีขาวมาติดลายรถจักรยานยนต์ และติดตัวเลขที่แผ่นป้ายทะเบียนเพื่ออำพรางสายตา พร้อมกับซื้อหมวกกันน็อก 2 ใบ โดยคนร้ายมีภรรยาเป็นชาวกัมพูชา และพักอาศัยที่ประเทศกัมพูชา ซึ่งจะมาที่ประเทศไทยบ้างบางครั้ง
ภายหลังก่อเหตุคนร้ายได้เดินทางไปประเทศมาเลเซียในวันที่ 17 กันยายน ก่อนย้อนกลับมาที่ประเทศไทยอีกครั้งในวันที่ 19 กันยายน เมื่อฝ่ายสืบสวนแน่ชัดในพยานหลักฐานจึงเฝ้าติดตามพฤติกรรม กระทั่งเมื่อเวลาประมาณ 03.00 น. วันที่ 26 กันยายน คนร้ายได้ปรากฏตัวที่อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งภายในซอยรามคำแหง 50 เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน กก.สส.บก.น.4 จึงเข้าควบคุมตัวมาสอบสวน
จากการสอบสวนคนร้ายให้การปฏิเสธ อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่มั่นใจในพยานหลักฐานว่าสามารถเอาผิดคนร้ายได้ ส่วนเงินที่ได้ไป 3 แสนกว่าบาทคาดว่าคนร้ายใช้เที่ยวเตร่หมดแล้ว