ไขปริศนา! อุ้มฆ่าหนุ่มวิศวะ ขณะที่ตำรวจกรุงเก่าเร่งแกะรอยหาโชเฟอร์แท็กซี่ ขับส่งวิศวะหนุ่มใหญ่ ผู้รับเหมาก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลบางปะอิน ก่อนถูกอุ้มฆ่าทิ้งริมน้ำเจ้าพระยาหวังให้จมน้ำอำพรางคดี แถมชิงสร้อยคอ และเลสทองคำ หนักรวม 20 บาท ติดมือหลบหนี
บัตรประชาชน ,บัตรใบอนุญาตวิศวกรรมโยธา และบัตรประจำตัวต่างๆ ของนายไพโรจน์ ดีลิ อายุ 56 ปี วิศวกร และผู้รับเหมาก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลบางปะอิน ที่ถูกคนร้ายยิงเจาะหน้าเสียชีวิตริมตลิ่งแม่น้ำเจ้าพระยา ในพื้นที่อำเภอบางปะอิน ใกล้เคียงกับตลาดโก้งโค้ง โดยตำรวจภูธรบางปะอินตรวจพบว่าถูกเหน็บที่กางเกงใน หลังจากนำศพขึ้นมาจากตลิ่ง จึงคาดว่าผู้ตายน่าจะรู้ตัวก่อนว่าจะถูกอุ้มฆ่า จึงได้แอบเอาบัตรใส่ไว้ในกางเกงใน และจากการลงพื้นที่ตรวจสอบในบริเวณที่พบศพ ไม่พบหลักฐานอะไรเพิ่มเติม คาดว่าคนร้ายน่าจะใช้ปืนยิงผู้ตายจนเสียชีวิต แล้วนำศพมาทิ้งหวังจะให้จมน้ำ แต่มาทิ้งในช่วงเวลาที่ระดับน้ำลง ศพจึงไม่จมน้ำ นอกจากนี้ ทางตำรวจคาดว่าน่ามีการต่อสู้ขัดขืนก่อนเสียชีวิตอีกด้วย จึงได้เก็บหลักฐานคราบเขม่าปืนที่บาดแผล เพื่อตรวจหาดีเอ็นเอของคนร้าย หลังจากเมื่อช่วงเช้านี้มีชาวบ้านแจ้งว่า พบศพบริเวณดังกล่าว
จากการสอบสวนนายลำพอง สุขแสง อายุ 51 ปี ผู้พบศพคนแรก ให้การว่า เมื่อช่วงเช้ามีคนหาปลามาพบศพผู้ตาย แล้วมาบอกตนให้ช่วยมาดู โดยเมื่อคืนที่ผ่านมา ชาวบ้านในพื้นที่หลายคนได้ยินเสียงคล้ายเสียงปืน แต่ไม่มีใครกล้าออกมาดู จนกระทั่งมาพบศพในตอนเช้า จึงรีบโทรแจ้งตำรวจให้มาตรวจสอบ
ส่วนแนวทางการสอบสวน ทราบว่า ผู้ตายได้รับประทานอาหารกับเพื่อนตั้งแต่ช่วงบ่าย และช่วงค่ำในกรุงเทพฯ และเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวไหว้พระพรหม ที่แยกราชประสงค์ และไหว้พระพิฆเนศที่แยกห้วยขวาง ก่อนที่ผู้ตายจะแยกย้ายกับเพื่อน โดยขึ้นรถแท็กซี่กลับมาที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และขาดการติดต่อไป ก่อนจะถูกฆ่าตาย โดยตำรวจชุดสืบสวนได้กระจายกำลังลงพื้นที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดในบริเวณก่อนถึงที่เกิดเหตุ และอีกชุดลงพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯ เพื่อตามหาแท็กซี่ที่มาส่งผู้ตาย เพื่อไขปริศนาการตายครั้งนี้แล้ว
ทั้งนี้ ทางตำรวจเร่งสอบสวนผู้ที่เห็นเหตุการณ์ และตรวจสอบตามกล้องวงจรปิดใกล้เคียง เพื่อติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดี ส่วนสาเหตุการสังหารนั้น ทางตำรวจตั้งไว้หลายประเด็น ทั้งด้านการขัดผลประโยชน์ทางธุรกิจ ,ชิงทรัพย์ และขัดแย้งส่วนตัว ซึ่งยังไม่ตัดปนระเด็นใดทิ้ง แต่อย่างใด สำหรับสร้อยคอทองคำ และเลสข้อมือทองคำ น้ำหนักรวม 20 บาท และแหวนเพชรที่สวมใส่ที่หายไปนั้น เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างสืบสวน เพื่อนำทรัพย์สินกลับมา