อธิบดีกรมสรรพสามิตเร่งปรับปรุง กม.ภาษีสรรพสามิต ฉบับใหม่ เน้นใช้ราคาขายปลีกคำนวณภาษี เชื่อโปร่งใส เป็นธรรม ทุกฝ่าย ปีงบประมาณ 60 ผ่านไป 5 เดือน จัดเก็บได้ 1.7 เเสนล้านบาท ภาษีน้ำมันมากที่สุด
วันที่ 4 มีนาคม 2560 ที่ด่านศุลกากรแม่สาย นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยถึงเรื่องการปรับโครงสร้างภาษีสุรา เบียร์ และไวน์ ภายใต้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีสรรพสามิต ฉบับใหม่ ว่าโครงสร้างภาษีใหม่จะเปลี่ยนฐานภาษีจาก ราคาขายส่งช่วงสุดท้าย เป็นราคาขายปลีกแนะนำของสินค้ากว่า 1,000 สินค้า ซึ่งจะเป็นฐานข้อมูลเพื่อนำมาเปรียบเทียบกับราคาขายปลีกแนะนำที่ผู้ประกอบการแจ้งเข้ามา โดยหากมีราคาที่ใกล้เคียงกันก็ไม่มีปัญหา ส่งผลให้ฐานภาษีที่ใช้ในการคำนวณภาษีตามมูลค่ามีราคาสูงขึ้น ดังนั้นเพดานอัตราภาษีตามมูลค่าจึงลดลง และอัตราภาษีที่จะใช้ในการจัดเก็บ มีแนวโน้มลดลงตามไปด้วยเพื่อให้ผู้ประกอบการไม่มีภาระภาษีมากไปกว่าเดิม
ท้ายร่าง พ.ร.บ. กรมสรรพสามิตเสนอว่า ภาษีใหม่จะต้องไม่เพิ่มภาระให้กับผู้ประกอบการ และไม่กระทบต่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ได้มีการปรับปรุงกฎหมาย โดยได้นำกฎหมายสรรพสามิต 7 ฉบับ และประกาศกฎกระทรวง รวมถึงข้อบังคับที่เกี่ยวข้องประมาณ 100 ฉบับ ที่ประกาศใช้มาปรับปรุงรวมเป็นฉบับเดียว
โดยสาระสำคัญที่เกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.ฉบับใหม่ คือ การใช้ราคาขายปลีกในการคำนวณภาษีสรรพสามิต จากเดิมใช้ราคา CIF สำหรับสินค้านำเข้า และใช้ราคาหน้าโรงงานสำหรับสินค้าในประเทศ ซึ่งกรมเชื่อว่าการปรับมาใช้ราคาขายปลีกเพียงอย่างเดียวจะทำให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรม ทั้งผู้นำเข้าและผู้ผลิตที่ค้าขายในประเทศ รวมถึงมีความเป็นสากล ในส่วนเรื่องเพดานการจัดเก็บ
“โครงสร้างภาษีใหม่ของสุรากลั่นและเบียร์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ในส่วนเบียร์และไวน์จะมีการปรับอัตราภาษีตามปริมาณจะปรับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี อัตราภาษีที่เก็บจริงยังไม่มีการกำหนด หลังจากนี้จะต้องรอดูว่าทางสรรพสามิตจะมีการเคาะอัตราภาษีที่เท่าใด” อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าว
นายสมชาย กล่าวด้วยว่า ในปีงบประมาณ 2560 ระหว่างเดือนตุลาคม 2559-มกราคม 2560 กรมสรรพสามิตสามารถจัดเก็บรายได้ รวมทั้งสิ้น 177,808.59 ล้านบาท โดยสินค้าที่สามารถจัดเก็บรายได้สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ภาษีรถยนต์ ภาษีเบียร์ ภาษียาสูบ และภาษีสุรา
สำหรับการจัดตั้งศูนย์ปฎิบัติการป้องกันและปรามปราม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบควบคุมและติดตามยานพาหนะทางบก อธิบดีกรมสรรพสามิต ระบุมีรถขนส่งน้ำมันส่งออกไปราชอาณาจักร และจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบสินค้า กรมสรรพสามิต(ด่านชั่ง)ซึ่งติดตั้งระบบศูนย์ควบคุมน้ำหนักเครือข่าย ณ จุดควบคุมและตรวจสอบน้ำหนักตามตะเข็บชายแดน เพื่อตรวจสอบปริมาณน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันระหว่างการขนส่ง พร้อมบันทึกภาพด้วยกล้องวงจรปิด ทำให้ทราบถึงเส้นทางการเดินรถเมื่อเดินทางอยู่ในประเทศไทยต้องไม่กระทำการผิดปกติ เช่น เปิดฝาถัง ถอดซีลน้ำมันก่อนเดินทางออกนอกราชอาณาจักร โดยเมื่อถึงปลายทางสามารถใช้อุปกรณ์อ่านรหัสอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสอบทานข้อมูลรายละเอียดของผลิตภัณฑ์น้ำมันจากต้นทางที่โรงกลั่น ปริมาณ บริษัทผู้ส่งออก วันและเวลาที่ออกจากโรงกลั่นหรือคลังน้ำมันและข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งไปยังศูนย์ปฎิบัติการป้องกันและปราบปรามในทันที ส่งผลให้กรมสรรพสามิตตัดสินใจตรวจปล่อยน้ำมันได้อย่างถูกต้อง โปร่งใสและเป็นธรรม ซึ่งปัจจุบันได้มีการส่งออกน้ำมันตามด่านต่าง ๆจำนวน 29 ด่าน โดยส่งออกผ่านศูนย์ตรวจสอบสินค้า .