สหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ 22 พ.ค. สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น (CNN) รายงาน ว่าศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) ได้ยืนยันถึงการรวมตัวเลขผลการตรวจหาเชื้อไวรัสและการตรวจหาแอนติบอดีไว้ด้วยกันเช่นกัน รัฐ 11 แห่งในสหรัฐฯ
ศูนย์ควบคุมฯ กล่าวว่าตนกำลังวางแผนที่จะแยกตัวเลขเหล่านั้นออกจากกันในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าวิธีการในปัจจุบันนั้นกำลังทำให้เกิดการเข้าใจผิด
คริสเตน นอร์ลันด์ (Kristen Nordlund) โฆษกหญิงของศูนย์ควบคุมฯ เผยว่า “ในตอนต้น เมื่อศูนย์ควบคุมฯ เปิดตัวเว็บไซต์และรายงานผลการทดสอบในห้องปฏิบัติการ การทดสอบหาเชื้อไวรัส (viral testing) (การทดสอบเพื่อระบุการติดเชื้อในปัจจุบัน) นั้นถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในทั่วประเทศมากกว่าการทดสอบโดยอาศัยหลักการทางภูมิคุ้มกันร่างกาย (Serology Test) (การทดสอบซึ่งบ่งชี้การติดเชื้อในอดีต)”
“ตอนนี้การทดสอบโดยอาศัยหลักการทางภูมิคุ้มกันนั้นใช้กันแพร่หลายมากขึ้น ศูนย์ควบคุมฯ จึงกำลังเตรียมการเพื่อแยกความแตกต่างของผลการทดสอบดังกล่าว ออกจากผลการทดสอบหาเชื้อไวรัส และจะรายงานข้อมูลโดยแยกตามประเภทของการทดสอบต่อสาธารณชนบนเว็บไซต์การติดตามข้อมูลโรคโควิด-19 (COVID Data Tracker) ของเราในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า”
แอนติบอดี หรือ สารภูมิต้านทาน คือกลไกที่ร่างกายสามารถจดจำได้ว่าเคยตอบสนองต่อการติดเชื้ออย่างไร จึงสามารถโจมตีเชื้อก่อโรคเดียวกันนี้ได้อีกครั้งเมื่อร่างกายสัมผัสเข้ากับเชื้อดังกล่าว
การตรวจหาแอนติบอดีแตกต่างจากการตรวจหาโมเลกุลส่วนประกอบของเชื้อ (Molecular testing) ซึ่งบ่งชี้ว่าบุคคลนั้นติดเชื้อไวรัสในขณะที่ทำการทดสอบหรือไม่ ตรงที่การตรวจหาแอนติบอดีสามารถบอกได้ว่าบุคคลดังกล่าวเป็นผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อนหน้านี้และหายจากโรคแล้วหรือไม่
ทั้งนี้ ซีเอ็นเอ็น ระบุว่า มี 11 รัฐทั่วประเทศ ที่ได้รายงานยอดโดยรวมสองตัวเลขนี้ไว้ด้วยกัน ได้แก่ โคโลราโด เดลาแวร์ จอร์เจีย เมน มิสซิสซิปปี มิสซูรี นิวแฮมป์เชียร์ เพนซิลเวเนีย เท็กซัส เวอร์มอนต์ และเวอร์จิเนีย
ภาพ China Xinhua News