จากกรณีการเสียชีวิตของ จอร์จ ฟลอยด์ ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะกับชนกลุ่มน้อย ส่งผลให้ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา สถิติด้านสิทธิมนุษยชนของอเมริกานับวันยิ่งเลวร้ายลง ซึ่งเป็นผลพวงจากการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ การไม่เคารพกฎหมายที่เพิ่มสูงขึ้น เหตุรุนแรงจากอาวุธปืน และช่องว่างระหว่างความร่ำรวย
โดยทั่วอเมริกาทุกวันนี้ ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกากำลังเผชิญความเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิตด้วยน้ำมือตำรวจเนื่องด้วยสีผิวของพวกเขา ซึ่งกลุ่มนักวิจัยที่สำรวจการใช้ความรุนแรงของตำรวจ เปิดเผยว่าชาวอเมริกันผิวดำมีโอกาสถูกสังหารโดยเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายสูงกว่าชาวอเมริกันผิวขาวถึง 2.5 เท่า
ทั้งนี้ ทั่วอเมริกาทุกวันนี้ คนผิวดำมีแนวโน้มเสียชีวิตในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 มากกว่าประชากรผิวขาวด้วย โดยชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกากำลังเสียชีวิตในอัตรา 50.3 ต่อ 100,000 ราย เมื่อเทียบกับตัวเลขในกลุ่มคนผิวขาวซึ่งอยู่ที่ 20.7 ราย
และทั่วอเมริกาทุกวันนี้ โอกาสการหางานอันเท่าเทียมสำหรับชนกลุ่มน้อยนั้นยังห่างไกลจากความเป็นจริง พวกเขาล้วนติดอยู่ในกลุ่มงานรายได้ต่ำ โดยชนกลุ่มน้อยร้อยละ 58 ทำอาชีพแรงงานการเกษตร ร้อยละ 70 ทำอาชีพแม่บ้านและพนักงานทำความสะอาด ส่วนร้อยละ 74 ทำอาชีพเป็นคนเฝ้าประตูและพนักงานยกกระเป๋า
ปัญหาดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจัดการได้โดยง่ายเนื่องด้วยเหตุผลหลายประการ อาทิ การเมืองที่แบ่งขั้วมากขึ้น อย่างไรก็ดี ดูเหมือนนักการเมืองทั้งสองฝ่ายจะสูญเสียแรงจูงใจ สติปัญญา รวมทั้งความสามารถที่จะก้าวข้ามการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย และสร้างการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น แต่สิ่งที่น่าหนักใจยิ่งกว่าคือการที่ทำเนียบขาวเป็นผู้ทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม หลังจากกลุ่มผู้ประท้วงที่โกรธแค้นยังคงพร้อมใจเปล่งเสียงว่าชีวิตคนผิวดำก็มีค่า และ ฉันหายใจไม่ออก ในกว่า 40 เมืองของสหรัฐอเมริกา
แต่คณะผู้บริหารชุดปัจจุบันกลับเลือกที่จะไม่สื่อสารกับผู้ประท้วง และวางท่าทีแข็งกร้าวข่มขู่แทน
และเรื่องตลกร้ายคือนักการเมืองสหรัฐอเมริกาที่ท่าทีแข็งกร้าว คือกลุ่มที่เคยกล่าวหาตำรวจฮ่องกงว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนขณะปฎิบัติงานเพื่อหยุดยั้งผู้ก่อจลาจลซึ่งสวมใส่หน้ากากและทำการปิดกั้นถนน รวมถึงทำลายทรัพย์สินของรัฐและเอกชนในเมืองของจีน