ควันหลงงานเปิดตัวสมาร์ทโฟนระดับท็อป iPhone 8 มีหลายประเด็นให้ได้ขยี้กันแหลกเพราะตอนนี้สปอร์ตไลท์กลับพุ่งตรงไปที่ iPhone X รุ่นฉลองครบรอบ 10 ปี การถือกำเนิดบนโลกมนุษย์ของไอโฟนพร้อมนิยามแบ่งชนชั้น Limited Edition ใส่เข้าไปอีกแล้วแบบนี้จะไม่เรียก “ขโมยซีนได้ไง?”
เมื่อเวลาประมาณเที่ยงคืนของวันที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมาเหล่ากูรูและคนคลั่งนวัตกรรมไม่พลาดงานเปิดตัว iPhone 8 ซีรีย์ล่าสุดของสมาร์ทโฟนจาก Apple หลักๆเป็นการโชว์ฟีเจอร์ สเปค และความสามารถของสามรุ่นคือ iPhone 8, iPhone 8 Plus และพระเอกหน้าตาหล่อเหลา iPhone X
บรรยากาศช่วงแรกอีตา ทิม คุ๊ก (Tim Cook) มีการกล่าวรำลึกถึงลูกพี่ สตีฟ จ๊อปส์ (Steve Jobs) เล็กน้อยก่อนตีเนียนบรรยายนวัตกรรมใหม่อย่าง APPLE WATCH 3 และ APPLE TV 4K HDR ซึ่งคนดูส่วนใหญ่เบื่อหน่ายเสมือนเวลา “แจกทองให้นักมวยก่อนชก” ยังไงยังงั้น ฮา
เอาล่ะ! มาถึงเวลาเปิดตัว iPhone 8 อย่างเป็นทางการ Welcome To My World วลีคลาสสิกที่ ทิม คุ๊ก ไม่ได้พูด อ๊าว??? ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ครับท่านผู้อ่าน ไอโฟน 8 และ 8 Plus ที่เราเฝ้ารอคอยหน้าตามันเหมือนไอโฟน 7 ไม่ผิดเพี้ยน เจี๊ยก!!! แต่เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งนอยด์ขนาดนั้นเพราะภายใต้ดีไซน์ที่ไม่ต่างจากเดิมปรับวัสดุตัวเครื่องมาเป็นอลูมิเนียม และฝาหลังเป็นกระจกแข็งและทนทานมากที่สุด เช่นเดียวกับลำโพงพัฒนาให้ดังกว่า iPhone 7 ถึง 25% เลยจ้า
แม้มันจะโดดเด่นแค่ไหนแต่ก็ไม่อาจเทียบ iPhone X หรืออีกชื่อที่น่าจะฮิตไม่แพ้กันคือ ไอโฟน เท็น ปรับดีไซน์ใหม่หน้าจอไร้ขอบแน่นอนว่าไม่มีปุ่มโฮมแล้วแต่จะใช้การปลดล็อคหน้าจอด้วยการสแกนใบหน้า Face ID แทน ส่วนหน้าจอก็ปรับมาใช้แบบ OLED อีกต่างหาก
คุณสมบัติพิเศษที่ถูกยกมาพูดถึงของ iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X คือรองรับเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย Qi Wireless Charging นี่คือเหตุผลที่ไอโฟนรุ่นใหม่ทั้ง 3 รุ่น ปรับมาใช้วัสดุอลูมิเนียมฝาหลังกระจกนั่นเอง
สเปคก็เช่นกัน iPhone 8, 8 Plus และเจ้าไอโฟนเท็น ใช้ซีพียู 64-bit Hexa-Core Apple A11 แกนประมวลผลแบบ Hexa-Core 6 แกนมากที่สุดของทุกรุ่น แถมแยกการประมวลกราฟิกออกมายกระดับการแสดงผลที่ดีที่สุดที่คุณไม่เคยพบเห็นมาก่อน
สุดท้ายขอปิดด้วยเรื่องของกล้องทั้ง iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X โดดเด่นด้วยระบบกันสั่น คมชัดระดับ 12 ล้านพิกเซล รองรับการถ่ายภาพแบบ “หน้าชัดหลังเบลอ” ผ่านเลนส์มุมกว้างและเลนส์
https://www.youtube.com/watch?v=mMV_LcrZtLg&t=1019s
สเปคเบื้องต้น iPhone 8
– ขนาด 138.4×67.3×7.3 มิลลิเมตร น้ำหนัก 148 กรัม
– หน้าจอแสดงผลแบบ Retina HD ขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียด 750×1334 พิกเซล
– ชิปประมวลผล 64-bit Hexa-Core Apple A11
– หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 64GB และ 256GB ให้เลือก
– กล้องหลังความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, รูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.8, ระบบป้องกันภาพสั่น OIS, ไฟแฟลช Quad-LED, Optical Zoom, ถ่ายวิดีโอ Slow Motion ได้ในความละเอียดสูง 1080p 240fps
– กล้องด้านหน้าความละเอียด 7 ล้านพิกเซล, รูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.2 รองรับการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุด Full HD
– ฟีเจอร์กันน้ำ IP67
– เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Touch ID
– รองรับเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ไร้สาย Qi Wireless Charging
– รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.0
– มีตัวเลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ Gold, Space Gray และ Silver
สเปคเบื้องต้น iPhone 8 Plus
– ขนาด 158.4×78.1×7.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 202 กรัม
– หน้าจอแสดงผลแบบ Retina HD ขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียดแบบ Full HD 1080×1920 พิกเซล
– ชิปประมวลผล 64-bit Hexa-Core Apple A11
– หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 64GB และ 256GB ให้เลือก
– กล้องหลังแบบ Dual-Camera ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, ใช้งานเลนส์ Wide และ Telephoto, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.8 และ F/2.8, ระบบป้องกันภาพสั่น OIS, ไฟแฟลชแบบ Quad-LED, Optical Zoom รองรับการถ่ายวิดีโอ Slow Motion ได้ในความละเอียดสูงสุดที่ 1080p 240fps
– กล้องด้านหน้าความละเอียด 7 ล้านพิกเซล, รูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.2 รองรับการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุด Full HD
– ฟีเจอร์กันน้ำ IP67
– เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Touch ID
– รองรับเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ไร้สาย Qi Wireless Charging
– รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.0
– มีตัวเลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ Gold, Space Gray และ Silver
สเปคเบื้องต้น iPhone X หรือ iPhone 10
– มีขนาด 143.6×70.9×7.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 174 กรัม
– หน้าจอแสดงผลแบบ OLED Super Retina HD ไร้ขอบ ขนาด 5.8 นิ้ว ความละเอียด 2436×1125 พิกเซล
– ชิปประมวลผล 64-bit Hexa-Core Apple A11
– หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 64GB และ 256GB ให้เลือก
– กล้องหลังคู่แบบ Dual-Camera ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, เลนส์ Wide และ Telephoto, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.8 และ F/2.4, ระบบป้องกันภาพสั่นแบบคู่ Dual-OIS, ไฟแฟลชแบบ Quad-LED, Optical Zoom รองรับการถ่ายวิดีโอ Slow Motion ได้ในความละเอียดสูงสุดที่ 1080p 240fps
– กล้องหน้าความละเอียด 7 ล้านพิกเซล, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.2 และบันทึกวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุด Full HD
– ฟีเจอร์กันน้ำ IP67
– ระบบจดจำใบหน้า (Facial Recognition) ปลดล็อคหน้าจอผ่าน Face ID
– รองรับเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ไร้สาย Qi Wireless Charging
– รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.0
– ราคาเริ่มต้นที่ 999 ดอลลาร์ (ประมาณ 33,000 บาท)
Cr. คลิปจาก iGadgetPro