ไม่ใส่แมสก์ ปรับ 2 หมื่น – นายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ออกคำสั่งด่วนที่สุด เรื่อง ให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกครั้ง ตลอดเวลาที่ออกนอกเคหสถานหรือสถานที่พำนักของตน
โดยได้ออกหนังสือ กำหนดมาตรการให้ประชาชนทุกคนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกำหนดโดยเคร่งครัด โดยการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง 100 % นั้น เนื่องจากปัจจุบันพบว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคในพื้นที่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี พบผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทวีคูณ และกระจายตัวไปในทุกพื้นที่อย่างรวดเร็ว ซึ่งปัจจัยสำคัญที่จะหยุดยั้ง การแพร่ระบาดของโรค คือความรู้ การสร้างความรับรู้และความตระหนักของประชาชนในการปฏิบัติตามมาตรการ ป้องกันโรคที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัด แต่ในทางกลับกันพบว่ายังมีประชาชนส่วนใหญ่
ยังคงละเลยในการให้ความสำคัญกับมาตรการ อาทิ การไม่สวมหน้ากากอนามัยขณะออกนอกเคหสถาน หรือสถานที่พำนักของตน อันป็นสาเหตุสำคัญของความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ
ดังนั้น เพื่อให้การป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเป็นรูปธรรม อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๗ แห่งข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๑)
ลงวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๓ ประกอบกับมาตรา ๒๒ และมาตรา ๓๔ แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. ๒๕๕๘ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีในฐานะผู้กำกับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินโดยความเห็นชอบ ของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสุราษฎร์ธานีตามมติที่ประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๔ จึงมีคำสั่ง ดังนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ ๘ ตามคำสั่งจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ ๒๒๙๔/๒๕๖๔ เรื่อง มาตรการเร่งด่วนในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) (ฉบับที่ ๓๘) ลงวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๔
ข้อ ๒ ให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกครั้งตลอดเวลาที่ออกนอกเคหสถานหรือสถานที่พำนักของตน
ข้อ ๓ ผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนี้ เป็นความผิดตามมาตรา ๕๑ แห่งพระราชบัญญัติ โรคติดต่อ พ.ศ. ๒๕๕๘ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
ข้อ ๔ ข้อกำหนด ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำที่อาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง ตามมาตรา ๑๖ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ และการดำเนินการตามคำสั่งนี้ เป็นกรณีที่มีสถานการณ์อันกระทบหรืออาจกระทบต่อความสงบเรียบร้อย และเป็นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน หากปล่อยเนิ่นเข้าไปจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่สาธารณชนหรือกระทบต่อประโยชน์ สาธารณะ จึงไม่อาจให้คู่กรณีใช้สิทธิโต้แย้งตามมาตรา ๓ วรรคสอง (๑ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๔ เป็นต้นไป จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง
