นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดปัตตานีและจังหวัดสงขลา พร้อมประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2560 จังหวัดสงขลา เปลี่ยนจุดลงเครื่องบินที่สงขลาแทน
วันนี้ (27 พ.ย. 60) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พลเอกอนุพงศ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก พร้อมคณะลงพื้นที่จังหวัดปัตตานี เพื่อพบปะประชาชน พร้อมติดตามความก้าวหน้าของโครงการ “สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” และติดตามประเด็นปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และพบปะรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มผู้นำท้องถิ่น ภาคเอกชนและประชาชนในพื้นที่ และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับนโยบายและการดำเนินแผนงานโครงการของรัฐบาล ในรอบ 3 ปี รวมทั้งสร้างขวัญและกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนในพื้นที่
โดยนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวกับชาวบ้านว่า เป็นการพบปะชาวใต้อีกครั้งอย่างเป็นทางการ วันนี้ไม่สามารถมาโดยเครื่องบินลงที่ปัตตานีได้ จึงต้องใช้เวลานาน จึงต้องขอโทษประชาชนด้วย แต่ตนรู้ดีว่าคนใต้น่ารักอยู่แล้ว โดยวันนี้ที่เดินทางมาเพื่อต้องการทำความเข้าใจนโยบายของรัฐบาล ไม่ได้มาหาเสียง ซึ่งในส่วนจังหวัดชายแดนภาคใต้มีการกำหนดการบริหารราชการแผ่นดินเป็น 6 ภาค และมีจังหวัดชายแดนภาคใต้ 3 จังหวัดและ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา ซึ่งตนยืนยันว่าตนเองให้ความสำคัญ
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีได้แนะนำรัฐมนตรีที่ร่วมเดินทางมาด้วย ซึ่งเมื่อแนะนำพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม นายกฯ ระบุว่างานความมั่นคงในขณะนี้ดีขึ้นเรื่อยๆ และต่อไป เศรษฐกิจก็จะตามมา และขออย่าไปเกลียดท่านเพราะบ้านเมืองจะได้มีแต่คนดีๆ นอกจากนี้นายกรัฐมนตรี ยังถามประชาชนด้วยว่ารังเกียจทหารไหมและกล่าวว่า ขออย่ารังเกียจทหารเพราะเลือดสีเดียวกันทั้งนั้น พร้อมถามด้วยว่า ตั้งแต่เข้ามาทุกอย่างมีการพัฒนาขึ้นหรือไม่
พลเอกประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ทุกคนเป็นคนไทยทั้งสิ้นไม่ว่าเชื่อชาติใดก็ตาม แต่เมื่อมีสัญชาติไทย ก็เป็นคนไทยทั้งสิ้น มีสิทธิเหมือนกัน เพราะเป็นคนไทย จึงขออย่าให้ใครแบ่งแยก และแบ่งแยกไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ศาสนา แต่ทุกคนต้องอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข จะขัดแย้งกันอีกไม่ได้แล้ว ไม่ว่าสาเหตุอะไรก็ตาม ต้องร่วมกันให้ได้ ต้องไม่ให้ใครทำลายได้ เพราะเรามีประวัติศาสตร์ที่มายาวนาน จึงต้องช่วยกันขับเคลื่อนประเทศให้ได้ เพราะวัฒนธรรมที่หลากหลายเป็นเสน่ห์ของไทย ไม่เหมือนต่างประเทศที่เป็นรูปแบบเดียวกันหมด อย่าสร้างความขัดแย้ง จะทำแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว
พลเอกประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ประเทศไทยยังเชื่อมโยงกับต่างประเทศที่ไม่มีอะไรกีดกั้นได้ โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียแต่เมื่อแพร่ไปแล้วไม่เกิดประโยชน์ก็ต้องหยุด ซึ่งรัฐบาลไม่ได้อยากใช้กฎหมายทุกตัวเพราะถ้าใช้คงไม่เกิดการแบบนี้ และยืนยันว่าตนเองยังคงรับฟังทุกความคิดเห็น
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือประชาชน แต่จะให้อย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องสร้างความเข้มแข็ง โดยเฉพาะข้าราชการที่ต้องพัฒนาตัวเอง ทั้งการจัดการ การใช้จ่ายงบฯ ให้ได้อย่างคุ้มค่า และหากใช้แต่กฎหมายในส่วนของตัวเองก็คงเดินหน้าไปไม่ได้ทั้งหมด ประชาชนก็ไม่ได้ประโยชน์ จึงขอให้ทุกคนตั้งเป้าหมายว่าให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด เพราะ ที่ผ่านมามีปัญหาทับซ้อนมานาน ตนไม่ได้มาหาเสียง แต่ต้องมาทำความเข้าใจ ว่าจะเดินหน้าประเทศอย่างไร เพราะตอนนี้มีปัญหามากที่เข้ามาแทรกแซง ซึ่งมีทั้งเรื่องจริงบ้างไม่จริงบ้าง ยืนยันว่ารัฐบาลนี้ทำมาเยอะมาก แต่อาจจะมาไม่ถึงในตอนนี้ และรัฐบาลนี้ทำเพื่อให้ประชาชนภาคใต้เข้าถึงทุกอย่างเหมือนคนภาคอื่นๆ และจะเร่งรัดอย่างเต็มที่
ส่วนความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ภาคใต้ ส่วนตัวมองว่าความสงบจะเกิดหรือไม่ อยู่ที่เราทั้งหมด เพราะเป็นเสียงส่วนใหญ่ เราเป็นคนยุติทุกอย่างได้ จะใช้กฎหมายอย่างเดียวไม่ได้ หากคนเป็นห่วงคนจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ยิ่งพูดยิ่งทำก็ยิ่งไม่สงบกว่าเดิม ทั้งที่มีเพียงคนส่วนเดียวที่สร้างปัญหา คนส่วนใหญ่จึงต้องไม่ให้คนกลุ่มนี้ทำได้ ขณะที่ความแตกต่างศาสนานั้น ตนเดินทางไปประเทศมุสลิมต่างเข้าใจรัฐบาล และบอกว่ารัฐบาลทำถูกแล้วที่นอกจากเรื่องกฎหมายยังเน้นเรื่องการพัฒนา การช่วยเหลือเยียวยาซึ่งก็ต้องแร่งดำเนินการ เพราะที่ผ่านมาอาจจะพูดคุยไม่เข้าใจ ยืนยันว่าจะต้องดูแลทั้งทหาร ตำรวจ ที่บาดเจ็บสูญเสีย และผู้ก่อความไม่สงบที่บาดเจ็บสูญเสียก็ต้องช่วยเหลือตามหลักมนุษยชนเช่นกัน เพราะเราต้องเดินตามกฎหมายของโลก
พลเอกประยุทธ์ กล่าวอีกว่า คนใต้สนใจการเมือง แต่ต้องคิดเรื่องการบ้านด้วยพร้อมๆ กับเรื่องการเมือง ซึ่งการลงมาประชุมที่ภาคใต้จะมีการลงทุนเรื่องโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ หลายโครงการที่งบประมาณจำนวนมาก แต่ต้องใช้เวลาทั้งหมด โดยเรื่องยางต้องแก้โดยการปลูกในพื้นที่ถูกต้อง และต้องดูแลคนที่บุกรุกด้วยพื้นที่ป่าหรือภูเขา ยืนยันว่าแก้ปัญหาเรื่องยางพาราอย่างเต็มที่ และไม่เคยบิดเบือนข้อมูลพร้อมถามด้วยว่าจะบิดเบือนเพื่ออะไร เพื่อให้ตัวเองรอดหรือ แล้วประชาชนจะได้อะไร แต่ขอให้ทุกคนเข้าใจว่าการแก้ปัญหาต้องค่อยเป็นค่อยไป และต้องดูตลาดโลกด้วย นอกจากนี้ตนขอสั่งการให้มีการตรวจสอบสต็อกยางที่มีอยู่ทั้งหมดว่ามีจำนวนเท่าไหร่ และใช้ยางในประเทศให้มากขึ้นเป็นแสนตันให้ได้โดยเร็ว และเป็นเรื่องที่ต้องทำเป็นข้อสั่งการ พร้อมยอมรับว่าภาคการเกษตรราคาตกต่ำลงจริง และต้องแก้ปัญหาต่อไป แต่ภาคอื่นๆ เช่น การค้าขายที่ลดลงก็ต้องดูสภาพแวดล้อมอื่นๆ ด้วย ทั้งนี้ ยังสั่งการให้ทุกกระทรวงร่วมมือกันใช้ยางพาราปู อ่างเก็บน้ำ โดยเฉพาะในอ่างเก็บน้ำที่เก็บน้ำไม่อยู่ หากไม่ทำจะถือว่าไม่ปฏิบัติตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี
จากนั้นนายกรัฐมนตรี พบปะ คุยกับประชาชนแต่ระหว่างนั้นระหว่างที่นายกรัฐมนตรีจะเดินไปเยี่ยมชมนิทรรศการ นายภรัณยู เจริญ อายุ 34 ปี ชาวจังหวัดปัตตานี อาชีพทำการประมง ได้ ร้องเรียนนายกรัฐมนตรีอยากให้แก้ไขกฎระเบียบเกี่ยวกับการทำประมงที่กำหนดให้ชาวประมง สามารถออกเรือไปทำประมงได้ 220 วันต่อปี ซึ่งถือว่าน้อยเกินไปทำให้ผู้ประกอบอาชีพประมงประสบกับภาวะขาดทุน เป็นหนี้เป็นสินจากต้นทุนที่สูงขึ้น อยากให้แก้กฎหมายเพิ่มวัน ระหว่างอธิบายนายภรัณยูได้ใช้เสียงดัง เพื่อเเข่งกับเสียงของนายกฯที่พูดผ่านไมล์โครโฟน ทำให้นายกฯไม่พอใจตะวาดนายภรัณยู กลับว่าไม่ควรมาขึ้นเสียงกับตน พูดดีๆก็ได้ ตนพร้อมรับฟังปัญหา แต่ต้องดูผลกระทบภาพรวมเรื่องประมงและการส่งออกด้วย หากขัดระเบียบกฎเกณฑ์ของต่างประเทศ จากนั้นเลขาธิการนายกรัฐมนตนรีได้ไปทำความเข้าใจกับนายภรัณยู และให้ไปเขียนคำร้องยังศูนย์ดำรงธรรม