ศาลสั่งคดีไต่สวนการตาย”ชัยภูมิ” ไม่วินิจฉัยทหารยิงเกินกว่าเหตุหรือไม่ ญาติเตรียมฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหาย ทีมทนายความเรียกร้องทหารเปิดภาพเหตุการณ์ กุญแจคดีวิสามัญฆาตกรรม
ความคืบหน้ากรณีการเสียชีวิตของนายชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมชาวลาหู่ วัย 17 ปี ที่ถูกทหารประจำด่านตรวจบ้านรินหลวง ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ใช้อาวุธปืนวิสามัญฆาตกรรม เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2560 โดยระบุว่าขณะตรวจค้นรถยนต์เก๋ง ฮอนด้า แจ๊ส สีดำ ทะเบียน ขก 3774 เชียงใหม่ นายชัยภูมิขัดขืนและจะใช้ระเบิดขว้างใส่เจ้าหน้าที่ จึงต้องใช้อาวุธปืนยิงนายชัยภูมิเพื่อป้องกันตัว ขณะที่การตรวจค้นพบยาบ้าซุกซ่อนอยู่ภายในห้องเครื่องจำนวน 2,700 เม็ดหลังจากสืบพยานหลายปากมากนานกว่า 1 ปี
ล่าสุดเวลา 09.00 น. วันนี้ ( 6 มิถุนายน) ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 13 ศาลจังหวัดเชียงใหม่ อ่านคำสั่งที่ ช 19/60 ในคดีชันสูตรพลิกศพของนายชัยภูมิ ป่าแส ที่มีพนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่เป็นผู้ร้อง โดยมีกลุ่มญาติของนายชัยภูมิและทีมทนายความจากศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น เข้าร่วมรับฟังจนเต็มห้องพิจารณาคดี เจ้าหน้าที่จึงแจ้งให้เฉพาะกลุ่มญาติและผู้เกี่ยวข้องอยู่ภายในห้องพิจารณาคดีเท่านั้น โดยศาลใช้เวลาในการอ่านคำสั่งราว 1 ชั่วโมง
นายรัษฏา มนูรัษฏา ทนายความในคดีนี้ กล่าวว่า ในการไต่สวนการตายหรือชันสูตรพลิกศพ ศาลมีคำสั่งชี้ข้อเท็จจริงว่านายชัยภูมิ เสียชีวิตเพราะถูกพลทหารสุรศักดิ์ รัตนวรรณ ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิง กระสุนปืนทำให้นายชัยภูมิถึงแก่ความตาย พร้อมระบุสถานที่การเสียชีวิตที่ด่านบ้านรินหลวง
ส่วนประเด็นโต้แย้งที่ฝ่ายอัยการผู้ร้องอ้างว่าพลทหารสุรศักดิ์จำเป็นต้องใช้อาวุธปืนยิงเพื่อป้องกันตัว เพราะนายชัยภูมิจะใช้อาวุธมีดทำร้าย และจะใช้ระเบิดขว้างใส่เจ้าหน้าหน้าที่ โดยผู้คัดค้าน ยืนยันว่าไม่มีการต่อสู้ขัดขืนเจ้าหน้าที่ ขณะที่ศาลไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นนี้
นายรัษฏา บอกว่า คำสั่งในคดีชันสูตรพลิกศพ จะถูกส่งเข้าไปประกอบกับสำนวนในคดีวิสามัญฆาตกรรมเพื่อให้ศาลได้พิจารณา ขณะที่ทีมทนายความ ยังคงพยายามให้ข้อเท็จจริงสู่ศาลมากที่สุด พร้อมเรียกร้องให้ทหารยอมนำภาพจากกลองวงจรปิดในช่วงขณะเกิดเหตุเข้าสู่สำนวนคดี เพราะเป็นประเด็นสำคัญทางคดีและสังคมให้ความสนใจ
นายรัษฎา กล่าวว่า คำสั่งศาลที่สั่งวันนี้ ไม่ตัดสิทธิ์ครอบครัวผู้เสียชีวิตในการฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่ง โดยไม่จำเป็นต้องรอผลจากคดีอาญา ส่วนจะฟ้องเมื่อไหร่ และเรียกค่าเสียหายเป็นจำนวนเท่าใด ญาติผู้เสียชีวิตและทีมทนายความจะหารือกันอีกครั้ง
ส่วนการฟ้องดำเนินคดีทางอาญาคงฟ้องทหารไม่ได้ เพราะกฎหมายทหารจำกัดอำนาจของประชาชนในการเข้าถึง ศาลทหารจะต้องให้อัยการศาลทหารเป็นผู้ฟ้อง ดังนั้นสิ่งที่ทีมทนายความพยายามจะให้ข้อเท็จจริงเข้าสู่ศาลมากที่สุด คือ การมีภาพจากกล้องวงจรปิดเข้าสู่สำนวนคดี แต่กล้องที่ทหารส่งให้พนักงานสอบสวน ไม่พบข้อมูลภาพเหตุการณ์ในช่วงเกิดเหตุ แสดงให้เห็นว่าภาพเหตุการณ์ในจุดสำคัญได้หายไป จึงขอฝากถึงผู้บังคับบัญชาของทั้งหน่วยงานตำรวจและทหาร ต้องสั่งการสอบสวนว่าภาพสำคัญที่ทำสำเนาไว้ตามคำสั่งอยู่ที่ใคร เพราะสาธารณะชนให้ความสนใจ และเป็นประเด็นสำคัญทางคดี
ด้านนายไมตรี จำเริญสุขสกุล ประธานกลุ่มรักษ์ลาหู่ ผู้ดูแลนายชัยภูมิ กล่าวว่า เหตุการณ์นี้ผ่านมานานกว่า 1 ปี แต่ยังไม่สามารถจับกุมดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้ ขณะที่คำสั่งศาลในวันนี้ ไม่ได้ระบุว่านายชัยภูมิตายเพราะผลจากการปฏิบัติหน้าที่เกินกว่าเหตุหรือไม่ ทำให้ทางครอบครัวยังคงสับสน
ส่วนหลังจากนี้จะดำเนินการอย่างไร จะหารือกับทีมทนายความที่เข้ามาช่วยเหลืออีกครั้ง พร้อมเรียกร้องความยุติธรรมให้กับนายชัยภูมิ เพราะหากคนทำผิดไม่ได้รับโทษ จะกลายเป็นความเจ็บปวดของประชาชนคนธรรมดาที่จะต้องถูกเจ้าหน้าที่รัฐกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า