อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ชี้ องครักษ์พิทักษ์นายกฯ เป็นหมันแน่ ยันฝ่ายค้านผู้อภิปรายด้วยข้อเท็จจริง ไม่มีโอกาสลุกขึ้นประท้วงแน่ สุดท้ายเป็นแค่ตัวตลกในสายตาประชาชน
เมื่อวันที่ 16 ก.พ. น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการเตรียมการรับมือองครักษ์พิทักษ์นายกฯในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะจากเนื้อหาและแนวทางของผู้อภิปรายล้วนเป็นข้อเท็จจริงเท่านั้น และไม่เปิดโอกาสให้องครักษ์ทั้งหลายลุกขึ้นประท้วงได้ ดังนั้นจึงคิดว่าองครักษ์ทั้งหลายที่ลุกขึ้นประท้วงต้องเป็นหมัน หากประท้วงโดยไม่ยึดข้อบังคับและต้องการเพียงเพื่อที่จะปั่นป่วนการอภิปรายเอาใจนายกฯก็ขอให้สำนึกไว้ด้วยว่าการกระทำเช่นนั้น ไม่ใช่การทำงานเพื่อประชาชนตามที่ได้เลือกเข้าสภาฯแต่เป็นการรับใช้นายเท่านั้น สุดท้ายจะกลายเป็นตัวตลกในสายตาประชาชน
น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า การอภิปรายไม่ได้ห้ามเนื้อหาที่เชื่อมโยงพฤติกรรมในอดีตทั้งนี้สอดคล้องและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ หากองครักษ์ทั้งหลายศึกษาข้อกฎหมายและข้อบังคับจะพบว่าถ้าการอภิปรายอยู่ในเนื้อหาของญัตติและเป็นการเชื่อมโยงเพื่อสะท้อนให้เห็นว่าทำไมนายกฯและพวกจึงต้องถูกอภิปรายก็สามารถอภิปรายได้อย่างแน่นอน
“เรื่องกระแสงูเห่ามาตั้งแต่เริ่มต้นเปิดสภาฯ บ้างก็บอกว่ามี 30 ตัว บ้างก็ว่ามี 20 ตัว แต่ที่ผ่านมาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นแค่การปล่อยข่าวหรือเป็นเพียงล่ำลือเท่านั้นเพราะเอาเข้าจริงก็จะปรากฏงูเห่าเพียงไม่กี่คนที่ประชาชนรับรู้ในพฤติกรรมของแต่ละท่านอยู่แล้ว ตนเองก็ไม่ขอไปก้าวล่วงใครอยู่พรรคไหนและทำผิดอะไรก็ต้องได้รับโทษตามข้อบังคับของแต่ละพรรคแต่ที่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือพี่น้องประชาชนจะตัดสินส.ส.เหล่านี้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า” น.อ.อนุดิษฐ์
น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า สำหรับพฤติกรรมเสียบบัตรแทนกันนั้น คงไม่ต้องรอให้ใครมาบอกว่าเป็นการทำที่ผิดหรือไม่ ดังนั้นทั้งผู้บริหารพรรค และส.ส.ที่เสียบบัตรแทนกันควรจะต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองได้แล้ว และปกติการแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองขั้นสูงสุดที่นักการเมืองทั่วโลกปฏิบัติคือการลาออก หรือจะแสดงออกด้วยมาตรการอื่นๆก็สุดแล้วแต่ แต่ตั้งแต่เกิดเรื่องจนศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณใหม่ ตนเองยังไม่เคยได้ยินคำขอโทษจากผู้บริหารพรรคหรือส.ส.ที่กระทำผิดเลยซักคน และที่กล่าวมาถือเป็นเรื่องความรับผิดชอบทางการเมืองที่ทุกคนต้องมี แต่ความรับผิดชอบทางกฎหมายก็เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่จะต้องเร่งพิจารณากันต่อไปเพราะในอดีตมีบรรทัดฐานในเรื่องนี้อยู่แล้ว