วันที่ (25 ม.ค.) น.ส.จิราพร สินธุไพร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงกรณีที่รัฐบาลเตรียมเสนอมาตรการ “ชิมช้อปใช้” เวอร์ชั่นอินเตอร์ ซึ่งอ้างว่าทำเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภาคการท่องเที่ยวไทย ที่ได้รับผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่านั้น ตนเห็นว่าการออกมาตรการนี้สะท้อนให้เห็นถึงความไร้เดียงสาในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้เป็นอย่างมาก เพราะโครงการ “ชิมช้อปใช้” ทั้ง 3 เฟส ที่กำลังจะสิ้นสุดในเดือนมกราคมนี้ ใช้วงเงินงบประมาณ 21,000 ล้านบาท แต่ผลลัพธ์ก็ประจักษ์แล้วว่าไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างที่รัฐบาลกล่าวอ้างเลย และยังพบปัญหาการทุจริต จนต้องชะลอ “ชิมช้อปใช้” เฟส 4 ออกไป
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาหลายฝ่ายได้แสดงความกังวลต่อมาตรการชิมช้อปใช้ รวมถึงกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่เคยเตือนให้รัฐบาลไทย ให้คำนึงถึงการใช้ความสามารถด้านการคลัง เพื่อประโยชน์ระยะยาว ไม่ใช่เน้นแค่การแจกเงินระยะสั้นเพียงอย่างเดียว แต่รัฐบาลก็ไม่เคยรับฟังเดินหน้าออกเฟสใหม่เรื่อย ๆ จนกระทั่งตอนนี้บานปลายไปไกลถึงขนาดจะแจกเงินนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อลดผลกระทบจากค่าเงินบาท
น.ส.จิราพร กล่าวอีกว่า เรื่องดังกล่าวเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด รัฐบาลทราบมาตลอดว่าเงินบาทที่แข็งค่า จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศ แต่ก็ไม่ได้มีความพยายามที่จะทำงานร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ให้ดีขึ้น กลับมานึกถึงแต่การแจกเงินต่างชาติ ในขณะที่คนไทยยังต้องเผชิญกับปัญหาความยากจน ตัวเลขคนตกงานพุ่งสูง รายได้ไม่พอรายจ่าย หนี้สินล้นพ้นตัว โดยเฉพาะขณะนี้ต้องเผชิญกับปัญหาฝุ่นพิษ ที่ทำให้คนไทยเสียโอกาสด้านสุขภาพถึง 2,000-3,000 ล้านบาท และเสียโอกาสด้านการใช้ชีวิตนอกบ้านราว 200-600 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลต้องรับผิดชอบค่าเสียโอกาสนี้
“ไม่น่าเชื่อว่ารัฐบาลหมดมุก ในการกระตุ้นเศรษฐกิจถึงขนาดจะไปทุ่มงบฯ แจกเงินนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งถือเป็นมาตรการติดสินบนจ้างคนต่างชาติมาเที่ยวไทย แต่กับคนไทยที่ต้องเผชิญกับฝุ่นพิษ รัฐบาลกลับบอกว่าคงแจกหน้ากากไม่ไหว ให้ซื้อหน้ากากช่วยเหลือตัวเองไปก่อน ซึ่งการกล่าวแบบนี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ประชาชนรู้สึกว่า รัฐบาลนี้ฝากผีฝากไข้อะไรไม่ได้เลย” น.ส.จิราพร กล่าว