“ช่อ พรรณิการ์” ฟาดแรง! เปรียบ รัฐประหาร เป็นเชื้อเอชไอวี ทำภูมิคุ้มกันประเทศบกพร่อง เกิดจากวงจรอุบาทว์ จวก ไม่ได้เป็นที่ยอมรับในเวทีโลกเสียเวลาเกือบ 2 ทศวรรษ คอยแก้ต่าง – แก้ตัว
เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯ คนที่ 2 ทำหน้าที่ในการนำประชุม ซึ่งมีการพิจารณาญัตติด่วน เรื่องขอให้สภาฯ พิจารณาตั้งกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางป้องกัน ไม่ให้เกิดการรัฐประหารขึ้นอีกในอนาคต ที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ เป็นผู้เสนอ โดยน.ส.พรรณิการ์ วานิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคบัญชีรายชื่อ
น.ส.พรรณิการ์ กล่าว อภิปรายตอนหนึ่งว่า การรัฐประการเหมือนไวรัสเอชไอวี ทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายบกพร่องทั้งระบบ อาการป่วยไข้ที่เกิดจากไวรัสรัฐประหารที่ยังไม่มีคนพูดถึงมากนัก คือ จุดยืนที่ตกต่ำลงเรื่อยๆของไทยในเวทีโลก ที่เกิดจากวงจรอุบาทว์ในการรัฐประหาร ตนเกิดในยุคที่ประเทศไทยมีศักดิ์ศรีในเวทีโลก ในยุคที่ประเทศไทยเป็นประทีบแห่งความหวังของภูมิภาค แต่เมื่อเกิดรัฐประหารในปี 2549 การต่างประเทศของไทยที่รุ่งเรือง บทบาทของไทยที่เคยเป็นผู้นำของภูมิภาคก็ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ
การต่างประเทศของไทยแทนที่จะใช้นโยบายทางการทูตเจรจาต่อรองกับต่างประเทศ เพื่อปกป้อง และส่งเสริม ผลประโยชน์ของคนไทย กลับกลายเป็นเครื่องมือไล่ล่าทางการเมือง ไล่ล่านักการเมืองเพียงคนเดียว เอาผลประโยชน์ของประเทศไปเจรจาต่อรองไม่ว่า เวทีไหน ทูตไทยมีหน้าที่เจรจาต่อรอง หรือทำอย่างไรก็ได้ เพื่อเอาตัวนักการเมืองคนนั้นมาลงโทษในประเทศไทย ความสูญเปล่าทางนโยบายต่างประเทศเกิดขึ้นต่อเนื่องหลายปี จากนั้นรัฐประหารปี 2557 ครั้งนี้หนักกว่าเก่า เพราะทุกครั้งที่รัฐประหารเกิดขึ้นโลกก้าวไปข้างหน้า รัฐประหารเป็นสิ่งน่ารังเกียจในประชาคมโลก และรัฐประหารปี 2547 มีภารกิจอยู่ยาวจึงมีภารกิจตามมาว่า จะแก้ตัวอย่างไรในเวทีโลก 5 ปี ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) 2 ปีแรก ทูตไทยเสียเวลากับการแก้ตัวว่า เหตุใดต้องมีรัฐประหาร อีก 3 ปี และต้องแก้ตัวว่า ทำไมต้องเลื่อนเลือกตั้ง เพราะไปที่ไหนก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะเป็นประเทศที่เป็นรัฐบาลทหารไม่เป็นที่ยอมรับในเวทีโลก ดังนั้น เกือบ 20 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่รัฐประหาร 2549 จนปัจจุบัน การระหว่างประเทศของไทยสูญเปล่าครึ่งหนึ่งไปกับการไล่ล่าล้างแค้นทางการเมือง
“เมื่อรัฐประหารเรื่อยๆ เกียรติภูมิประเทศตกต่ำลงเรื่อยๆ ท่านก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบหงอ คือ กลัวเพื่อนไม่คบ ทำอะไรก็ได้เพื่อให้ตัวเองได้รับการคบหาสมาคม ยอมเจรจาแบบเสียเปรียบ นอกจากเสียศักดิ์ศรียังเสียศักยภาพในการต่อรองเจรจาระหว่างประเทศ พอท่านหงอไม่มีศักยภาพในการเจรจาต่อรอง เพราะเป็นรัฐบาลมีปมด้อย เป็นรัฐบาลเผด็จการ ท่านจะไปขอให้ประเทศต้นน้ำแม่น้ำโขงเปิดเขื่อนก็ไม่กล้า เกรงใจ เพราะพึ่งใบบุญเขาอยู่ ท่านจะขอเอาคนไทยกลับจากอู่ฮั่น ก็เกรงใจว่า จะกระทบความสัมพันธ์ สุดท้ายหงอไปหมด ประนีประนอมผลประโยชน์ของคนไทย กับการได้รับการยอมรับของรัฐบาลที่ไม่มีความชอบธรรม” น.ส.พรรณิการ์ กล่าว
น.ส.พรรณิการ์ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยสามารถกลับมาเป็นผู้นำภูมิภาคได้อีก หากมีการต่างประเทศในอุดมคติ คือ มีนโยบายภายใน และภายนอก ที่สอดคล้องกัน มีนิติรัฐมีประชาธิปไตย และเคารพหลักการสากลในสิทธิมนุษยชน ทำตนเป็นที่พึ่งพาได้ของประเทศเพื่อนบ้าน มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ดังนั้น จึงเป็นเหตุที่ต้องยุติระบอบรัฐประหารซ้ำซาก ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องมีกลไกต่อต้านการรัฐประหาร และควรมีสภาผู้แทนราษฎรที่ริเริ่มทำหน้าที่นี้ และขอฝากไปยังทหาร เพราะเชื่อว่า มีทหารที่ดีเป็นมืออาชีพ ให้ช่วยกันปกป้องเกียรติภูมิของคนไทย