“จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” ชี้ไม่มีอำนาจถอนฟ้อง หลัง อธิบดีกรมค้าภายใน ลฟ้องเอาผิดโฆษกกรมศุลกากร รับการแถลงข่าวมีปัญหา
เมื่อวันที่ 12 มี.ค. จากกรณีกรมการค้าภายใน จะแจ้งความเอาผิดโฆษกกรมศุลกากร ตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์และหมิ่นประมาท ที่ให้ข้อมูลและสื่อสารผิดพลาดในเรื่องกรมการค้าภายใน อนุญาตส่งออกหน้ากากอนามัย ในช่วงเดือน มกราคม-กุมภาพันธ์ 2563 มากถึง 330 ตันนั้น
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่เมื่อได้เห็นข่าวที่ออกไปตามโซเชียลมีเดียก็ตกใจ เพราะคำแถลงที่ปรากฏออกมาทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก จึงเร่งตรวจสอบว่าข้อเท็จจริงคืออะไร เพราะผู้ที่จะอนุมัติให้ส่งออกได้มีเพียงอธิบดีกรมการค้าภายในเท่านั้น ซึ่งหน้ากากอนามัยได้ประกาศเป็นสินค้าควบคุม และไม่อนุญาตให้ส่งออก หากจะมีการส่งออกจะต้องขออนุญาตก่อน
ทั้งนี้ หน้ากากอนามัยที่จำเป็นต้องใช้ในประเทศไม่ให้ส่งออก ยกเว้นการผลิตหน้ากากอนามัยภายใต้ข้อผูกพันทางทรัพย์สินทางปัญญาที่เอามาขายในประเทศไม่ได้ โดยอธิบดีกรมการค้าภายในจะแถลงในรายละเอียดต่อไป และเท่าที่รับทราบท่านจะไปแจ้งความร้องทุกข์เพราะทำให้ได้ท่านรับความเสียหาย
โดยนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ไม่ได้โทรศัพท์มาพูดคุยในประเด็นดังกล่าว แต่ตนได้โทรศัพท์ไปประสานกับเลขานุการกรมศุลกากรเพื่อขอทราบข้อเท็จจริง ซึ่งแจ้งมาว่า คำแถลงของกรมศุลกากรยืนยันว่าในช่วงหลังมีการประกาศหน้ากากอนามัยให้เป็นสินค้าควบคุมก็มีการส่งออกน้อยมาก
ยืนยันว่า ตนไม่มีอำนาจไปสั่งการให้ถอนฟ้อง เพราะอธิบดีกรมการค้าภายในต้องรักษาสิทธิ์และปกป้องชื่อเสียงของตัวเอง ส่วนการฟ้องร้องกันระหว่างรัฐกับรัฐ จะทำให้เกิดความเสียหายในอนาคตตามมาหรือไม่นั้น ขอให้อธิบดีกรมการค้าภายในเป็นผู้แถลงว่าไปร้องทุกข์กล่าวโทษในกรณีใด แต่เท่าที่ตนทราบว่าเป็นกรณีของท่านกับโฆษกกรมศุลกากร ไม่ใช่หน่วยงานรัฐต่อหน่วยงานรัฐ หรือเป็นกรณีอื่นก็ได้
พร้อมยอมรับว่า หลังจากนี้ต้องมีการทบทวนเรื่องการแถลงข่าว เพราะประชาชนเกิดความสับสน ดังนั้นการให้ข้อมูลอะไรจากหน่วยงานภาครัฐต้องตรวจสอบให้รอบคอบชัดเจนก่อน เพราะสถานการณ์ขณะนี้เป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ รวมถึงโซเชียลมีเดียไปเร็วมากถ้าคลาดเคลื่อนจะกระจายไปในวงกว้างอย่างรวดเร็ว และกว่าจะทำความเข้าใจได้ต้องใช้เวลา จนผู้เสียหายได้รับความเสียหายในวงกว้าง การให้ข่าวอะไรจึงต้องระมัดระวัง
นอกจากนี้ ปฏิเสธตอบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเกมการเมืองระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคพลังประชารัฐ ที่ฝ่ายบริหารอาจจะไปชี้ช่องให้เจ้าหน้าที่ฟ้องร้องระหว่างกัน ย้ำว่าขณะนี้เสถียรภาพของรัฐบาลยังเหนียวแน่น และการทำหน้าที่ในรัฐบาลยังไม่ได้มีปัญหาอะไร