วันที่ 11 พฤษภาคม 2563 ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ภาคีสมาชิกราชบัณฑิตยสภา และรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยรังสิต ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ ระบาดไวรัส ระบาดน้ำใจ โดยระบุว่า
“คนไทยเป็นคนมี “น้ำใจ” โอบอ้อมอารี และสงสารเห็นใจ พร้อมจะช่วยเพื่อนมนุษย์ในยามลำบาก ไม่ว่าจะเป็นคนไทยด้วยกันหรือไม่ ในยามที่โควิด-19 ระบาด ผมเห็นร้านอาหารราคาแพงแถวทองหล่อซึ่งจำต้องปิดกิจการ แต่แทนที่จะโอดครวญ กลับเปลี่ยนมาทำข้าวห่อ เพื่อแจกฟรีให้คนรับจ้างขับมอเตอร์ไซค์ (วิน) และ แท็กซี่ ด้วยสงสารและเป็นห่วงว่าคนเหล่านั้น ซึ่งแทบไม่มีลูกค้าแน่อย่างน้อย ได้ข้าวห่อไปกินก็ยังดี ที่มหาวิทยาลัยรังสิตที่ผมประจำอยู่ เราทำ “โรงทาน” แจกอาหารห่อฟรีทุกเที่ยง มีคนที่อยู่ในเมืองเอก รอบเมืองเอก มาเข้าแถวรับอาหารไปรับประทานทุกวัน วันละร่วมพันห่อ คนที่มารับนั้น แน่นอน ย่อมมีทั้งคนจนและคนไม่จน มีที่เป็นอาจารย์และนักศึกษาก็มี
ผมตระเวนไปเห็นพระสงฆ์องคเจ้าที่เคยรับถวายบิณฑบาต จากประชาชน คราวนี้ท่านกลับนำข้าวปลา เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ และของใช้ ที่จำเป็นไปมอบให้ผู้ที่เคยตักบาตรถวายท่าน ดูแล้วซึ้งใจ อดคิดไม่ได้ครับ ว่า มนุษย์ที่อยู่รอดมา ไม่สูญพันธ์ เป็นแสนเป็นล้านปีมาแล้ว ก็เพราะมีนำ้ใจช่วยกันและกัน คิดถึงเป็นห่วงกันและกัน และ คนไทยเรา ดี ๆ ชั่ว ๆ นี่แหละที่เป็นแบบฉบับของความมีน้ำใจขนานนามพวกเราเป็นคำฝรั่งปนไทย ว่า “compassionate animal ตัวแม่” เห็นจะได้
กิจกรรมที่คนไทยมากน้ำใจทำมานี้ ทำมาไม่หยุดยั้งเลย แม้ว่าโควิดจะระบาดน้อยลงไปเรื่อย ๆ สองวันมานี้ ยังเห็น “ตู้แบ่งปันนำ้ใจ” ผุดขึ้นมาในหลายจังหวัด ใครมีอะไร ของกินของใช้ ก็ใส่ไว้ในตู้ ให้ใครที่ลำบากหยิบเอาไปได้ แต่พอประมาณ ให้นึกถึงคนอื่นที่ยังไม่ได้มาหยิบ และหากคนที่เคยหยิบ จะมีอะไรบริจาคคืนได้ก็ยิ่งดี ช่วยกันและกัน หลวงพ่อชยสาโรท่านเคยเล่าว่า เมื่อบวชใหม่ ๆ ออกไปรับบิณฑบาต ท่านเห็นชาวบ้านที่มากด้วยศรัทธาและน้ำใจ คดข้าวเหนียวจากห่อ ถวายพระทุกเช้า คนเหล่านั้นส่วนใหญ่ยากจน แต่กลับเป็น “นักให้” ผู้ยิ่งใหญ่ เพราะในวันนั้น เขาอาจมีข้าวเหนียวแค่สามก้อน แบ่งให้พระฉันหนึ่งก้อนที่เหลือนั้นเป็นของตัวเองและครอบครัว
อยากจะบอกว่า ระบาดไวรัสทั่วโลกนั้น มา “แพ้ทาง” ที่ไทย การที่เราไม่ปั่นป่วนวุ่นวาย สังคมยืนยงอยู่ได้ไม่ล้มลงไป ก็เพราะขณะที่เชื้อโรคร้ายระบาดอยู่นั้น ก็มี “น้ำใจ” ระบาด ควบคู่ไปด้วย คิดแล้ว เรามี “ภูมิต้านทาน” ทางสังคมออกมาช่วยสู้ไวรัสเอาไว้
แม้แต่ราชการซึ่งเต็มไปด้วยระเบียบและกฎเกณฑ์ ก็ “รู้ร้อนรู้หนาว” ไปด้วย พยายามโอบอุ้มช่วยเหลือคนที่ถูกผลกระทบให้มากที่สุด กระทรวงแรงงานที่ผมพอจะรู้เรื่องอะไรอยู่บ้าง ทั้งฝ่ายการเมืองและประจำ ก็อยู่ในอาการนั้น ออกแรงออกความคิดจนนโยบายของรัฐบาลบรรลุผล ทำให้โควิดเป็น “เหตุสุดวิสัย” ตามกฎหมายและจ่ายชดเชยว่างงานได้ คาดว่าผู้ที่จะรับเงินชดเชยนี้จะมีไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านคน ยิ่งกว่านั้น เรายังแก้กฎระเบียบเก่าให้จ่ายชดเชยได้มากขึ้น จาก 50 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้ ให้เป็น 62 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ผู้ว่างงานได้รับเงิน “กองทุนประกันสังคม” เดือนละ 5-9 พันบาท โดยประมาณ
ยิ่งกว่านั้น บัดนี้ นายกรัฐมนตรี และรัฐบาล มีความเห็นเพิ่มเติมมาอีกว่ากองทุนประกันสังคมนั้น ควรขยับค่าชดเชยว่างงานจาก เหตุสุดวิสัย โควิด-19 นี้สูงขึ้นไปอีก เพื่อให้คนว่างงาน ได้เงินชดเชยเพิ่มขึ้นอีก ที่ให้มานั้น ก็ดี แต่ยังไม่พอ จะเพิ่มให้เป็น 75 เปอร์เซ็นต์ หรือ ประมาณ 8 พัน ถึง 12,000 บาท ต่อเดือน ต่อคน ถือว่าเงินชดเชยนี้ “มากด้วยนำ้ใจ” แม้จะยังมีความล่าช้าในการจ่ายอยู่บ้าง แต่รัฐบาลและกระทรวงก็ได้ส่งสัญญาณแล้วว่า จะดูแลผู้ประกันตนให้เต็มที่
ธรรมดาโลก ไม่ว่าจะทำอะไรกันรวมทั้ง เรื่องดี-เรื่องกุศล ก็ย่อมต้องมีจุดอ่อนข้อบกพร่องอยู่ การบ่นด่า หรือวิพากษ์วิจารณ์ ตำหนิ ทั้งหลาย ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ตราบใดที่เราท่านมี “น้ำใจ” กัน ทั้งในภาคส่วนสังคม ทั้งในภาครัฐ ตั้งแต่ระดับสูงสุดของแผ่นดิน ลงมาถึงระดับต่ำสุด ทั้งฝ่ายปฏิบัติ และ ฝ่ายตรวจสอบ ทั้งในวงฆราวาส ทั้งในวงพระสงฆ์ ทั้งหมู่ชาวพุทธ ทั้ง ศาสนิกอื่น ๆ ทั้งปวง ก็พอจะเชื่อได้ว่าเราจะฝ่าพ้นภัยวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกันได้อย่างแน่นอน”