เฟซบุ๊กพรรค ก้าวไกล โพสต์ เอกภพ ชี้ “เปิด-ปิดต้องมีกลยุทธ์ การ์ดอย่าตกแต่ต้องชกด้วย” แนะทำ Cyclic Lockdown พร้อมเสนองบสาธารณสุขฉบับก้าวไกล
วันที่ 28 พฤษภาคม 2563 หมอเอก เอกภพ เพียรพิเศษ ส.ส. พรรคก้าวไกล ได้อภิปรายหลักการและกรอบแนวคิดทางด้านสาธารณสุข วิเคราะห์สถานการณ์ และปิดท้ายด้วยขอเสนอขอพรรคก้าวไกล ซึ่งเสนอให้มีการปรับวงเงินกู้เพื่อใช้สำหรับด้านสาธารณสุขจากเดิม 4.5 หมื่นล้านบาท เป็น 1 แสนล้านบาท โดยใช้ 6 หมื่นล้านบาทสำหรับการซื้อวัคซีน และอีก 4 หมื่นล้านบาทสำหรับการพัฒนาศักยภาพระบบสาธารณสุข การจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยา และสำหรับบุคลากร
เอกภพชี้ พ.ร.ก. กู้เงิน 1 ล้านล้านบาทนี้ มีส่วนมีส่วนที่กันไว้ให้ด้านสาธารณสุข 4.5 หมื่นล้านบาท หรือเมื่อเทียบกับงบลงทุนปี 2563 ของกระทรวงสาธารณสุข 1.25 หมื่นล้านบาท เท่ากับงบลงทุน 3.6 ปี ยังมีข้อสังเกตอีกว่า คณะกรรมการกลั่นกรองตาม พ.ร.ก. กู้เงินนี้ ที่เป็นเงินกู้ก้อนใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศ นอกจากไม่มีส่วนร่วมของประชาชนแล้ว ยังไม่ได้มีสัดส่วนของผู้มีความรู้ความเชียวชาญด้านสาธารณสุขเลย และไม่ได้กำหนดรายละเอียดและสัดส่วนของการใช้เงิน ว่าจะนำไปใช้ทำอะไรบ้าง เพียงแต่กำหนดไว้กว้างๆ เท่านั้น ซึ่งเอกภพกล่าวว่าเราไม่ควร “ตีเช็คเปล่า” ‘งบประมาณนี้สำคัญขนาดนี้
จากการที่เราต้องอยู่กับมาตรการที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนตั้งแต่เดือนมีนาคมเรื่อยมาจนถึงตอนนี้ คำถามที่ทุกคนอยากรู้คือเราต้องอยู่แบบนี้ไปอีกนานเท่าไร ซึ่งคำตอบคือการระบาดจะสิ้นสุดลงเมื่อมีคนที่มีภูมิคุ้มกันในจำนวนมากพอที่จะหยุดการแพร่เชื่อต่อได้ ซึ่งในกรณีของ COVID-19 นี้ ประมาณการว่าต้องมีคนที่มีภูมิต้านทาน 60-80% ของจำนวนประชากร โดยจะทำได้ 2 วิธี คือการทำภูมิต้านทานหมู่ หรือวัคซีน ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่าการจะมีวัคซีนที่ใช้ได้อย่างปลอดภัยคือนับจากนี้ 1 ปีเป็นอย่างต่ำ
เนื่องจาก COVID-19 เป็นโรคระบาดที่ทั่วโลกกำลังเผชิญหน้ากันอยู่ โดยแต่ละประเทศมีวิธีรับมือที่แตกต่างกันออกไป และยังไม่เป็นที่สรุปแน่ชัดว่าแบบไหนดีหรือไม่ดีกว่ากัน
บางประเทศเลือกวิธีการ Lock down อย่างที่ประเทศไทยก็เลือกใช้ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อต้องการลดจำนวนผู้ติดเชื้อไม่ให้เพิ่มขึ้นอย่างมากในเวลาอันสั้น หรือเรียกว่า Flattening the curve มาตรการนี้ต้องการให้คนไทยไม่ตายด้วยโรค ไม่ต้องการให้แพทย์ต้องเลือกว่าต้องรักษาใครหรือปล่อยมือใครแต่ในขณะเดียวกัน เอกภพย้ำกว่ามาตรนี้ก็ไม่ควรละเลยว่าในขณะเดียวกันนั้น มาตรการนี้กำลังทำให้คนต้องอดตาย
“การ lock down ทำเพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อไม่ให้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ควรมาพร้อมกับการเพิ่มศักยภาพของระบบสาธารณสุขให้พร้อมรับมือกับการเพิ่มขึ้นของคนไข้เมื่อเปิดให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม แล้วก็มีการวางแผนเพื่อปิดอีกครั้งหากมีการเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้ออย่างรวดเร็ว เรียกว่าเป็นการเปิด-ปิดอย่างมีกลยุทธ์ หรือ Cyclic Lockdown”
“พอกันทีกับคำขู่ที่ว่าการ์ดอย่าตก ถ้าอยู่บนเวทีแล้วตั้งการ์ดอย่างเดียวก็คงได้แค่รอเวลาถูกถลุงจนน็อค แต่เราควรตั้งรับแบบมีกลยุทธ์ มีการออกแบบอาวุธสวนกลับคู่ต่อสู้ไปบ้าง” เอกภพกล่าว
นอกจากนั้น ยังมีข้อมูลหลักฐานที่กระทรวงสาธารณสุขไทยส่งรายงานให้องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ว่าเรามีศักยภาพในการตรวจได้ 6,000 รายต่อสัปดาห์ ต่างจากที่เคยมีการแถลงของ ศบค. ว่าสามารถตรวจได้ 20,000 รายต่อวัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่มีเอกสารหลักฐานยืนยัน แสดงให้เห็นว่าเราควรพัฒนาศักยภาพในการตรวจให้มากกว่านี้ แต่ในรายละเอียดการขอกู้เงินในส่วนของสาธารณสุข 4.5 หมื่นล้านบาทนั้น กลับมีรายละเอียดเพียง 5 บรรทัดเท่านั้น ตีว่าแต่ละบรรทัดมีมูลค่ากว่า 9 พันล้านบาท เราจะยอมให้รัฐบาลทำแบบนี้จริงๆ หรือ?
อีกด้านคือ การพัฒนาวีคซีน มีข้อมูลการประมาณราคาวัคซีนว่าจะมีราคา 300-1,000 บาทต่อหน่วย แปลว่ารัฐบาลควรต้องเตรียมงบประมาณวัคซีนไว้ 1.2-6.7 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันไทยมีหน่วยงานรัฐที่สามารถผลิตวัคซีนได้ 2 หน่วยงาน ซึ่งไม่มีการผลิตวัคซีนใหม่ๆ เลย และไม่มีศักยภาพที่จะผลิตในปริมาณครั้งละมากๆ ดังนั้น ควรจะมีการปรับปรุงเทคโนโลยีและความสามารถในการผลิตวัคซีนในประเทศได้แล้ว หากไม่อยากจะรอคิวนานจากการต้องพึ่งการผลิตของต่างประเทศ เพราะประชาชนควรจะได้รับวัคซีนอย่างถ้วนหน้า ไม่ว่าจะยากดีมีจน
“ในฐานะที่ผมเป็นหมอคนหนึ่ง อยากย้ำว่า รัฐบาลต้องสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ด้วย อย่าปล่อยให้พวกเขาต้องใช้หน้ากากอนามัยเพียง 1 ชิ้นต่อหนึ่งวันเต็มๆ อย่าปล่อยให้พวกเขาต้องหาใครมาบริจาคอุปกรณ์การแพทย์ อย่าปล่อยให้พวกเขาต้องใช้เสื้อกันฝนแทนชุด PPE รัฐบาลไม่ควรฉลองชัยชนะบนหยาดเหงื่อของบุคลากรทางการแพทย์และน้ำตาของประชาชน อย่าปล่อยให้พวกเขาต่อสู้กันอย่างเดียวดายอีกเลย” เอกภพกล่าวในฐานะแพทย์
ด้วยประการทั้งปวง พรรคก้าวไกลจึงขอเสนอให้มีการปรับวงเงินกู้เพื่อใช้สำหรับด้านสาธารณสุขจากเดิม 4.5 หมื่นล้านบาท เป็น 1 แสนล้านบาท โดยใช้ 6 หมื่นล้านบาทสำหรับการซื้อวัคซีน และอีก 4 หมื่นล้านบาทสำหรับการพัฒนาศักยภาพระบบสาธารณสุข การจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยา และสำหรับบุคลากร
เอกภพกล่าวสรุป “เมื่อจัดงบประมาณแบบนี้ จะเป็นการต่อสู้ที่ทุกคนมาร่วมกัน และเมื่อประกาศชัยชนะ จะเป็นชัยชนะของทุกคนของแท้จริง ไม่ใช่ชัยชนะที่อยู่บนซากปรักหักพักของคนรุ่นต่อไป ไม่ใช่ชัยชนะบนความลำบาก ความอดอยากของประชาชน ผมอยากให้เมื่อถึงวันที่ประกาศว่าโรคระบาดนี้หยุดลงแล้ว เราจะมีรอยยิ้มและความสุขไปด้วยกัน ประเทศไทยต้องชนะ”