แรมโบ้ อิสาน เตือนสติเกลอเก่า “ตู่จตุพร” หยุดความคิดสร้างความแตกแยก ชวนมาช่วยกันสร้างความสามัคคีให้บ้านเมืองตอบแทนคุณแผ่นดิน
เมื่อวันที่ 13 พ.ค. นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธ์ุ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ออกมาระบุว่าการยิงเลเซอร์ตามหาความจริงเป็นตัวหนังสือตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อตอกย้ำเหตุการณ์สลายการชุมนุมในอดีตว่า ในฐานะที่เคยเป็นอดีตแกนนำที่อยู่ในเหตุการณ์ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยในยุคนั้นคนหนึ่ง อยากจะเตือนสตินายจตุพรในฐานะเพื่อนรักกันว่า
นายสุภรณ์ กล่าวว่า บทเรียนในอดีตพวกเราเคยตกเป็นเครื่องมือของใครบางคนบางกลุ่ม พวกเราต้องยอมรับความจริงกันว่า พวกเรามีจุดยืนที่เรียกว่าทฤษฎี 2 ขา ขาที่ 1 เรามีจุดยืนเพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แต่ขาที่ 2 เรามีจุดยืนเพื่อผลประโยชน์ตนเอง ในการรับใช้พรรคการเมืองเพราะพวกเราเป็นสมาชิกพรรคการเมืองกันเกือบทุกคน และเรายังมีผู้บังคับบัญชาคอยสั่งการอยู่เบื้องหลังในการชุมนุม คงไม่ต้องให้เราบอกว่าเป็นใคร พอเลือกตั้งเสร็จทุกคนก็ได้รับรางวัลสมนาคุณความดีความชอบแกนนำทุกคนมีตำแหน่งทางการเมืองกันถ้วนหน้า บางคนให้มีตำแหน่งส.ส.บัญชีรายชื่อ บางคนได้ลูกหรือภรรยามาเป็นส.ส.ในสภา แกนนำบางคนได้เป็นถึงรัฐมนตรีในกระทรวงใหญ่ ๆ สองสามกระทรวงด้วยซ้ำไป
“ที่ผมต้องพูดเพราะต้องทบทวนบทบาทความคิดตนเองว่า เราสู้เพื่อประชาชนสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริง หรือสู้เพื่อพรรคการเมืองหรือสู้เพื่อใครบางคน หรือสู้เพื่ออยากมีอยากได้ตำแหน่งของตัวเราเอง เราต้องเอาข้อเท็จจริงมาพูดกันแบบไม่มีอคติกล่าวหาใส่ร้ายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือพูดเพื่อทำลายบรรยากาศให้บ้านเมืองมันมีปัญหาความขัดแย้งกลับขึ้นมาอีกเหมือนในอดีตมันได้ประโยชน์อะไร อยากให้เพื่อนลองไตร่ตรองตั้งสติดูว่าผมพูดผิดหรือพูดถูก” นายสุภรณ์ กล่าว
นายสุภรณ์ กล่าวว่า ยิ่งนายจตุพรพูดยิ่งไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย มีแต่จะสร้างความขัดแย้งใหม่ขึ้นมา พวกเราน่าจะนำบทเรียนความขัดแย้งในอดีต ที่ถูกกล่าวหาต่าง ๆ นานานำมาเป็นบทเรียนเตือนสติเตือนใจที่จะร่วมมือกันนำพาประเทศชาติไปสู่ความสามัคคีให้ได้ไม่ดีกว่าหรือ เพื่อพิสูจน์ตนเองไม่เป็นอย่างที่คนอื่นกล่าวหา หรือไม่ก็กล้ายอมรับการความจริงแบบลูกผู้ชายไปเลยว่า เราเดินทางผิดคิดผิดไปแล้วเราผิดพลาดจริง ๆ ไม่เห็นต้องไปกลัวอะไร ตนกลับมีมุมมองว่า ถ้าคนเราเดินผิดคิดผิด เรากลับตัวกลับใจคิดใหม่ทำใหม่ สังคมยังให้โอกาสให้อภัยเราได้เสมอ
นายสุภรณ์ กล่าวด้วยว่า นายจตุพรต้องพึงระวังอย่าเดินหลงทางซ้ำสอง ต้องพึงระมัดระวังอย่าตกเป็นเครื่องมือการเมืองของใครอีก ต้องหยุดการเดินหลงทางให้คนบางกลุ่มที่กำลังพยายามคิดจะสร้างความวุ่นวายสร้างความแตกแยกให้บ้านเมืองในขณะนี้ เราจะต้องไม่เป็นเครื่องมือให้ใครอีกต่อไป เหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นเมื่อปี 52 และ 53 ไม่มีใครรู้ดีเท่ากับพวกเราว่าเบื้องหน้าเบื้องหลังเป็นเช่นไร ยิ่งให้ตนพูดยิ่งจะเป็นการเผาพวกเดียวกัน อย่าให้ตนพูดเลย สุดท้ายประชาชนจะกล่าวหาว่า พวกเราเองต่างหากหลอกเอาประชาชนมาเป็นเครื่องมือเป็นเกาะกำบังเรียกร้องคร่ำครวญหาประชาธิปไตย จนกระทั่งถูกยัดเยียดข้อหาพาประชาชนไปตาย เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้ใครบางคน
นายสุภรณ์ กล่าวอีกว่า ตนอายเขายิ่งผมพูดจะยิ่งเห็นธาตุแท้ของใครบางคนที่ทำกับพวกเราและยิ่งบาปกันไปใหญ่ ตนเองก็สุมแน่นเต็มหน้าอกไม่เคยคิดอยากระบายกับใคร ขณะนี้เวลานี้สมองคิดอย่างเดียว อยากไถ่บาปอยากกลับเนื้อกลับใจ อยากใช้ชีวิตและลมหายใจที่เหลืออยู่ตอบคุณแผ่นดิน หมั่นเข้าวัดทำบุญสร้างกุศลให้วีรชนทุกคนที่ล่วงลับได้อโหสิกรรมให้พวกเราทุกคน ขอชีวิตและลมหายใจที่เหลืออยู่ ทุ่มเททำงานให้ประเทศชาติและประขาชน เพื่อสร้างความปรองดองให้สันติสุขกับคืนมาสู่แผ่นดินไทย ซึ่งเป็นสิ่งพี่น้องประชาชนคนไทยต้องการ
นายสุภรณ์ กล่าวต่อว่า ตนจึงฝากถึงเพื่อนรักตู่จตุพร ขอเป็นคำพูดที่เพื่อนเตือนสติเพื่อน ขอให้ใช้สติทบทวนให้หนักแน่นค่อย ๆ คิดทบทวนตัวเองมเพราะชีวิตจริงไม่มีใครรักเราเท่ากับตัวเราเอง บทเรียนสอนใจความเจ็บปวดในชีวิตคงเตือนสติเพื่อนให้หยุดพอได้แล้ว มีอะไรคุยกันปรึกษากัน เพื่อนคนนี้ยินดีพาเพื่อนไปสู่หนทางที่พบความสงบในชีวิต เรามาสร้างบุญกุศลให้ประเทศชาติประชาชนร่วมกันก่อนสิ้นลมหายใจ เพราะชีวิตนี้ไม่มีใครรู้ว่าเราจะจากโลกใบนี้ไปวันใหน ชีวิตนี้ไม่มีใครรู้วันตายของตัวเราเองอาจจะช้าหรือเร็วแล้วแต่ชะตากรรม แต่ชีวิตที่ยังดำรงเหลืออยู่ในปัจจุบันเรามาทำความดีเพื่อตอบแทนพระคุณแผ่นดินที่ให้เราเกิดมาไม่ดีกว่าหรือ
“ที่ผมพูดถึงเพื่อนรักจตุพรไม่ได้มีอคติส่วนตัวแต่อย่างใด ก็เพียงเตือนกันในฐานะเพื่อนรักอีกสักครั้ง ส่วนจตุพรจะเห็นด้วยหรือไม่ก็แล้วแต่เพื่อน จะเกลียดจะโกรธผมก็คงไม่ว่ากันแต่ผมพูดด้วยความหวังดีจะขอเตือนครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย และจะไม่ก้าวล่วงเพื่อนอีกถือว่าเราได้คุยกับเพื่อนเป็นที่สุดแล้ว” นายสุภรณ์ กล่าว