พรรค ก้าวไกล แนะก่อนสิ้นเดือน สิงหาคม นี้ รัฐบาลต้องหามาตรการมาแก้โจทย์ใหญ่ทางเศรษฐกิจให้ได้ โดยระบุว่า “ยังไม่ต้องหวังถึงการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจ เพราะแค่เยียวยาและพยุงเศรษฐกิจที่มีอยู่ไม่ให้ล้มลงก็แย่แล้ว ข่าวร้ายก็คือ ล่าสุด สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ฯ เปิดเผยว่า หลังจากส่งหนังสือให้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณาปัญหาข้อกฎหมายจากการใช้เงินกู้ภายใต้ พ.ร.ก. วงเงิน 400,000 ล้านบาท
คณะก้าวหน้า ชี้ 4 อำนาจหน้าที่ ส.ว. ปกป้องการสืบทอดอำนาจ
เพื่อใช้ในกองทุนเพิ่มพลัง วงเงิน 50,000 ล้านบาท ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ที่มีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหา SMEs รายย่อยและขนาดกลางที่เข้าไม่ถึงสินเชี่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) วงเงิน 500,000 ล้านบาท
ซึ่งเป็นมาตรการช่วยเหลือโควิด 19 ที่ไม่ครอบคลุมมาตั้งแต่แรกนั้น ผลการพิจารณา ระบุว่า สสว. ไม่สามารถใช้เงินกู้ดังกล่าวได้ เพราะผิดวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกองทุนฯ ที่กำหนดว่า การจัดตั้งกองทุนต้องมาจากเงินทุนประเดิมของรัฐบาล หรือเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี เป็นต้น ทำให้ในเบื้องต้นนี้แนวทางการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยและขนาดกลางยังคงไม่ชัดเจนนัก
สำหรับสถานการณ์ของผู้ประกอบการรายย่อยและขนาดกลางหรือ SMEs เป็นที่รู้กันดีว่า ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาเริ่มขาดสภาพคล่อง เนื่องจากไม่สามารถเปิดกิจการได้ หรือหากเปิดกิจการได้ก็ยังคงต้องแบกภาระต้นทุน เช่น ค่าเช่าสถานที่และค่าแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากนี้ หากมาตรการยืดการชำระหนี้ของธนาคารต่างๆสิ้นสุดลง รายจ่ายจะยิ่งทบเข้ามา ทำให้คาดการณ์กันว่า หลายกิจการอาจต้องปิดตัวลงอีกหากการช่วยเหลือทางการเงินยังไม่มาถึง
ซึ่งนั่นหมายความว่า จะมีลูกจ้างหรือแรงงานอีกจำนวนมากถูกเลิกจ้าง ในอนาคตหากเกิดภาวะการสูญเสียงานมากขึ้นเรื่อยๆก็จะกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอย ทำให้ไม่เกิดการหมุนเวียน ซึ่งจะยิ่งไม่เป็นผลดีอย่างยิ่งต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจในภาวะที่ไม่สามารถพึ่งการส่งออกหรือการท่องเที่ยวจากต่างประเทศได้ในอีกระยะหนึ่ง
สำหรับแรงงาน เวลานี้แรงงานในระบบหรือผู้อยู่ในระบบประกันสังคมตาม มาตรา 33 ยังคงได้รับเงินเยียวยาไม่ครบถ้วนด้วยความล่าช้าของระบบ มีการประมาณการว่าถึงตอนนี้ดำเนินการไปได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น และหลังจากนี้หากอัตราการว่างงานสูงขึ้นเรื่อยๆ แนวทางการนำเงินจากกองทุนประกันสังคมมาใช้เยียวยาไปเรื่อยๆแทนที่รัฐจะเข้าไปพยุงกิจการต่างๆไม่ให้ล้มตั้งแต่แรกก็จะไม่เพียงพอ เพราะเงินในกองทุนประกันสังคมต้องแบ่งไปใช้เพื่อการอื่นตามวัตถุประสงค์เช่นนี้
นอกจากนี้ จากการสำรวจข้อมูลเบื้องต้นของปีกแรงงานพรรคก้าวไกล พบว่าหากมาตรการเยียวยาโควิดที่กำหนดไว้ในช่วง เมษายน – สิงหาคม 2563 สิ้นสุดลง จะหมายถึงการสิ้นสุดภาวะการจ่ายเงินให้กับแรงงานจำนวนหนึ่งเนื่องจากเป็นกำหนดปิดกิจการของนายจ้างด้วย ดังนั้น หลังเดือนสิงหาคม จะมีแรงงานจำนวนมากต้องตกงาน
ขณะที่เวลานี้แม้แต่ปัญหาของแรงงานที่ยังมีงานอยู่ ก็ถูกลดเวลาการทำงานลงครึ่งหนึ่งและไม่มีโอที ทำให้พวกเขาขาดรายได้ไปจำนวนมากจนอาจไม่พอต่อการยังชีพ ผลกระทบนี้อาจต่อเนื่องไปถึงเด็กและเยาวชนที่คาดการณ์กันว่า ปัญหาทางการเงินของผู้ปกครองอาจทำให้มีเด็กต้องหลุดจากระบบการศึกษาถึงเกือบ 700,000 คน ส่วนนายจ้างเองก็ไม่รู้ว่าจะแบกรับต้นทนเหล่านี้ได้ถึงเมื่อไหร่
ก่อนที่จะเกิดสภาวะเช่นนั้น พรรคก้าวไกลมีข้อเสนอมาตลอดในการอัดเม็ดเงินลงไปเพื่อพยุงการจ้างงาน เพราะเชื่อว่าหากมีการช่วยเหลือจากรัฐบ้าง คงไม่มีใครอยากปิดกิจการ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงไม่ได้ดำเนินการใดในเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรม ขณะที่มาตรการฟื้นฟูที่ออกมาก็ดูเหมือนจะผิดฝาผิดตัว เช่น การให้ความสำคัญกับการสร้างถนนหรือปลูกป่า เป็นต้น
ศรีสุวรรณ จี้ ตระกูลอยู่วิทยา แสดงความจริงใจ เร่งประสานนำตัว’บอส’กลับเข้ากระบวนการยุติธรรม
ประวิตร กำชับ ดูแลม็อบทุกกลุ่มระวังเผชิญหน้า ยัน รัฐบาลพร้อมแก้ปัญหาประเทศชาติ
ประเด็นเหล่านี้อยู่ในความสนใจและเป็นความกังวลของพรรคก้าวไกลมาตลอด ดังนั้น ในเร็ว ๆ นี้ พวกเราจะมีข้อเสนอด้านเศรษฐกิจในสถานการณ์โควิดอย่างเป็นรูปธรรมออกมาอีกครั้ง เพื่อให้ทุกคนสามารถประคองตัวต่อไปได้ในสถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในเวลาอันใกล้นี้อย่างดีที่สุด”