ม.รามคำแหง — นาย จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟชบุ๊คไลฟ์ peace talk เมื่อวันที่ 22 ต.ค. 2563 โดยเตือนฝ่ายอำนาจอย่าปะทะปลุกปั่นความรุนแรง หาเหตุเกิดสงครามการเมือง จะส่งผลกระทบให้สถาบันเสียหาย
วุ่นเบาๆ! หมอเหรียญทอง เจอป่วน – ลั่นไม่จัดม็อบชนม็อบ ไม่เอารุนแรง
นายจตุพร กล่าวว่า จากเหตุน้ำผึ้งหยดเดียวเกิดการปะทะกันขึ้นที่ ม.รามคำแหงนั้น หากไม่หยุดยั้งจะพัฒนาไปสู่สงครามกลางเมือง เหมือนบ้านนาบัว นครพนม เกิดเสียงปืนแตกในปี 2508 แล้วรบกันมายาวนานกว่า 15 ปี จึงยุติลงเมื่อมีคำสั่งนโยบาย 66/2523
ในช่วงนั้น หากคอมมิวนิสต์ไทยไปร่วมกับคอมมิวนิสต์เวียดนามที่คึกคะนองต้องการเข้ายึดไทย แต่นักรบคนป่าไทยไม่เห็นด้วย นั่นสะท้อนว่า สันดานคนไทยยิ่งใหญ่ทั้งปวง ตนพูดเรื่องนี้เพื่อให้หลีกเลี่ยงความรุนแรงที่จะเป็นเหตุทำให้มีคนตายทั้งปวง
สถานการณ์การปะทะกันที่ ม.รามคำแหง ไม่น่าเกิดขึ้น ควรหาทางแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี และมองทุกอย่างด้วยความเข้าใจคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นรุ่นลูก-หลาน ไม่ใช่ผลักเขาออกไป เพราะในวันข้างหน้าเป็นวัน เวลาของพวกเขา ควรอธิบายกัน ไม่ควรใช้ความรุนแรงมาผลักเขาให้ออกไป นอกจากนี้ การกระทำการที่บุคคลใดไปกระทำการกับอีกฝ่ายหนึ่งนั้น ไม่น่าทำด้วยความรุนแรง ดังนั้น เหตุการณ์ที่รามจึงเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว
ไม่มีความผิด! พลังประชารัฐ แสดงจุดยืน ประยุทธ์ ไม่ต้องลาออก
“ส่วนการถอยของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีทางเดียวเท่านั้น ต้องลาออกจากนายกฯ และควรวัดที่การกระทำ ไม่ใช่เอาแต่พูด แม้มีการยกเลิก พรก.ฉุกเฉินก็ตาม แต่นับแต่วันประกาศไม่สามารถบังคับใช้ได้เลย รวมทั้งไม่มีความเสมอภาค อีกฝ่ายหนึ่งไม่บังคับใช้ ส่วนอีกฝ่ายถูกตามจับ ดำเนินคดีกันและต่อเนื่องอีกเมื่อยกเลิกไปแล้ว”
นายจตุพร กล่าวว่า รัฐควรช่วยคลี่คลายสถานการณ์ ไม่ควรอาฆาต แต่ต้องระงับยับยั้งไม่ดำเนินคดีกับคนหนุ่มสาว ดังนั้น คนมีอำนาจต้องใจใหญ่กว่าแม่น้ำ รู้จักการให้ เหมือนการใช้ประกาศคำสั่งนโยบาย 66/2523 จึงยุติสงครามประชาชนได้
อีกอย่าง อย่าให้ปรากฎการณ์ที่ ม.รามคำแหงลุกลามระบาดไปทุกพื้นที่ เพราะเท่ากับเป็นการเอาความรุนแรงมาแก้ปัญหา
โดยรัฐบาลต้องตระหนักเรื่องนี้ให้มาก นอกเหนือจากการลาออกของนายกฯ ส่วนการเปิดสภาวิสามัญวันที่ 26-27 ต.ค. นี้ สิ่งที่มีคุณค่าที่สุด เมื่อรัฐบาลประกาศให้แก้ รธน.แล้ว ต้องซื้อสัตย์ต่อตัวเอง อย่าเล่นแร่แปรธาตุอีก จะทำให้เกิดการตัดสินใจผิดพลาด ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรตำหนิมากที่สุด
ไม่มีความผิด! พลังประชารัฐ แสดงจุดยืน ประยุทธ์ ไม่ต้องลาออก
พร้อมย้ำว่า การประชุมสภาสมัยวิสามัญต้องพิจารณาลงมติญัตติแก้ รธน.ที่ค้างอยู่ให้เสร็จ การหารือทางออกกับวิกฤตของประเทศ ยิ่งเพิ่มให้วิกฤตทับถมไปอีก เนื่องจากเมื่อนายกฯ แถลงสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นต่อสภาแล้ว ย่อมกระทบกับอีกฝ่ายหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าฝ่ายค้านตอบโต้นายกฯ ย่อมซัดกันไปมาในสภา จะเกิดโกลาหลซ้ำเติมวิกฤตนอกสภาให้หนักยิ่งขึ้น
“การหาทางออกของบ้านเมืองไม่ว่ายุคใดไม่เคยเกิดขึ้น เพราะผู้มีอำนาจไม่เคยคิดหาทางออกอย่างจริงจังและจริงใจ ดูอย่างนายกฯแถลงให้ถอยคนละก้าว แล้วตกกลางคืนกลับไปจับเด็กอีก
ทั้งนี้ สิ่งเหล่านี้เกิดจากการประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉินเมื่อย่ำรุ่งวันที่ 15 ต.ค. ที่ผิดพลาด แล้วลุกลามมาถึงสถานการณ์วันนี้นั่นเอง ดังนั้น การเปิดสภาสมัยวิสามัญต้องหยิบเรื่องที่เป็นปัญหาคือการแก้ รธน.มาลงมติก่อน เพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา สภาต้องผ่านแก้ รธน.ก่อน แล้วการอภิปรายหาทางออกวิกฤตจะลดการเผชิญหน้าลง นี่กลับจะเล่นเหลี่ยมคูเอาชนะกันเองอีก”
นายจตุพร กล่าวว่า จากนี้ไปการเคลื่อนไหวจะไม่มีใครหยุดยั้งได้ สิ่งที่ตนย้ำมาตลอดถึงกลไกแก้ปัญหา และจิกซอสำคัญคือ นายกรัฐมนตรี ถ้าจะฟังกันบ้าง ก็ควรเอาเรื่อง รธน.เข้าหารือสภาสมัยวิสามัญ แต่ไม่ฟังก็ไม่เป็นไร เพราะถึงที่สุดแล้ว เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเสียสละลาออก หากไม่ออกปัญหาต่างๆจะประเดประดังจนพังพินาจย่อยยับ
“จะพาประเทศออกจากวิกฤตได้อย่างไร เพราะในวันข้างหน้าจะเต็มด้วยวิกฤตมากมาย อะไรยับยั้งความเสียหายได้ ทุกคนต้องช่วยกัน นายกฯ ต้องช่วยมากกว่าคนอื่น ด้วยการยุติตำแหน่งนายกฯของท่านเอง”
นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อความรู้ของประชาชนก้าวไปไกล สิ่งสำคัญต้องแก้ปัญหาแต่ละเรื่องราวให้คนไม่เข้าใจได้เข้าใจ เพราะวันนี้ประเทศมีวิกฤต จะปฎิบัติแบบเดิมยิ่งลำบาก โดยเฉพาะใช้ความรุนแรงกับเด็กเป็นความผิดพลาดมากที่สุด เท่ากับลากพ่อแม่ออกมาด้วย หากพ่อแม่ทนไม่ได้แล้วจะกลายเป็นสงครามจากน้ำผึ้งหยดเดียวทันที
“ปัจจุบันปัญหามีความละเอียดอ่อนและต้องคิดมากกว่าปกติ เพราะประเทศไม่พร้อมที่จะสร้างบาดแผลเพิ่มขึ้นอีก ขออย่าอธิบายเข้าข้างตัวเอง อย่าคิดว่าประเทศนี้ถ้าตัวเองไม่เป็นนายกฯแล้วจะอยู่ไม่ได้ เพราะไม่จริง แต่การไม่มีท่านเท่ากับเป็นการยุติปัญหา และการเสียสละจะเกิดความสง่างาม เช่น พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ รุ่นพี่ของท่านทำเป็นตัวอย่างมาแล้วเมื่อปี 2523 ด้วยการจูงมือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เข้าเฝ้าแล้วประกาศลาออกจากนายกฯ”
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ทุกฝ่ายต้องคิดมากกว่าปกติ และหลายอย่างต้องได้รับการแก้ปัญหา ต้องหลีกเลี่ยงความรุนแรงเพราะสร้างความเสียหาย ไม่เป็นเป็นผลดี จะเกิดการกระทบกระทั่ง ยิ่งมีการปะทะของสองฝ่ายแล้วจะกระทบสถาบันให้เกิดความเสียหายไปด้วย
รวมทั้งย้ำว่า การแสดงออกด้วยความรุนแรงต้องหลีกเลี่ยง ยิ่งจะมีการปะทะยิ่งต้องหลีกหนี และใช้ความเป็นผู้ใหญ่อย่างมีวุฒิภาวะ และอย่าลุกลามไปเรื่องต่างๆ ขออย่าให้มีมือที่สามมาแทรกขบวนการเคลื่อนไหวของคนหนุ่มสาว
ดังนั้น การแก้ปัญหาจะเลือกสร้างเพิ่มวิกฤตหรือลดวิกฤตลง แล้วแต่การเลือก สิ่งสำคัญฝ่ายมีอำนาจคำพูดกับการกระทำต้องไปด้วยกัน อีกทั้งหวังว่าเหตุการณ์ที่ ม.รามคำแหง จะไม่เกิดที่พื้นที่อื่นๆอีก
