พรรค ก้าวไกล โพสตฺเฟซบุ๊กต่อปรากฏการณ์ ปรากฏการณ์สนิม กับ วัฒนธรรมเพิกเฉย ระบุว่า กรณี ‘ครูจุ๋ม’ เป็นเพียงหนึ่งในปรากฏการณ์ ‘สนิมเกิดแต่เนื้อในตน’ เท่านั้น ภายใต้ ‘สังคมโครงสร้างแข็ง’ หรือรัฐข้าราชการรวมศูนย์แบบไทยที่ได้สร้างลักษณะเฉพาะขึ้นจนกลายเป็นเอกลักษณ์ขึ้น ทำให้แม้ทุกคนต่างรู้ดีถึงรากปัญหาแต่กลับไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ เมื่อปล่อยไว้นานวันสนิมจึงกัดกร่อนกินเนื้อลึกเข้าไปเรื่อยๆ โครงสร้างที่ภายนอกดูแข็งแรงจึงมีอาการทรุดตัวดังหลายกรณีที่กำลังปรากฏตัวขึ้นในเวลาไล่เรี่ยกันขณะนี้ โดยหลายเหตุการณ์ยังเป็นอาการจากภายในหรือ ‘คนใน’ ที่ทำให้รอยผุปรากฏชัดออกมา
ก้าวไกล จวก แอคทวิตเตอร์ ศปก.นรม. ทำคอนเทนต์เปรียบเทียบเด็กได้ทุเรศ
ส.ส. ก้าวไกล ชี้ ถึงเวลาแก้ไข พ.ร.บ.คอม หลัง หนุ่มอเมริกาถูกฟ้อง รีวิว 1 ดาว
ย้อนกลับไปเมื่อต้นปี เกิดเหตุการณ์กราดยิงที่โคราชหรือกรณี ‘จ่าจักร’ ซ้อนทับมาด้วยปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันภายในกองทัพและการกดขี่ทหารชั้นผู้น้อยโดยผู้บังคับบัญชา ก่อนนั้นยังมีกรณี ‘หมู่บ้านป่าแหว่ง’ หรือบ้านพักตุลาการ บนเชิงดอยสุเทพ ที่สะท้อนอภิสิทธิบางอย่างของชนชั้นตุลาการ นอกจากนี้ ยังมีกรณีการยิงตัวเองเสียชีวิตของ ‘ผู้พิพากษาคณากร’ เพื่อทวงคืนคำพิพากษาให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นการทักท้วงถึงหลักการว่าด้วยความยุติธรรม กรณีของอัยการและตำรวจในคดี ‘บอสกระทิงแดง’ หรือสังคมอภิสิทธิชน กรณี ‘การบินไทย’ ที่ล้มละลายเพราะสาระพัดปัจจัยภายใน หรือที่เก่าไปกว่านั้นก็มี เช่นการตายของ สืบ นาคะเสถียร ที่สะท้อนภาพปัญหาในกรมป่าไม้ ล่าสุด ยังมีร่องรอยปรากฏใหม่ที่แทบไม่น่าเชื่อว่า กระทั่งใน องค์กรสวนสัตว์ แหล่งเรียนรู้เล็กๆที่ไม่น่าจะหาประโยชน์อะไรได้ กลับกลายเป็นพื้นที่ที่อาจเข้าไปเกี่ยวพันกับขบวนการลักลอบค้าสัตว์ป่าซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตไปอีก 2 ราย
ดูเลย! 5 สิ่งที่พรรค ก้าวไกล ทำในการประชุมสภาฯ สมัยที่ผ่านมา
สนิมที่กัดกร่อนทำให้อาการโงนเงนขององคาพยพต่างๆในสังคมปรากฏชัดขึ้นทุกที จนมีคำถามอื้ออึงดังมาจากรอบทิศ หากเป็นสังคมในภาวะปกติ เมื่อมองเห็นสิ่งเหล่านี้ การซ่อมแซมหรือเปลี่ยนเสาคานต่างๆที่ผุพังใหม่ควรจะต้องเกิดขึ้น แต่สำหรับสังคมไทย โดยเฉพาะยุคสมัยรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา รูปธรรมของการแก้ปัญหาที่เห็นมาตลอดคือ การแสดงอารมณ์และเฉไฉไปเรื่องอื่นหรือเพิกเฉยเสีย ซึ่งเป็นท่าทีที่แสดงออกตั้งแต่ระดับนายกรัฐมนตรีลงมายังรัฐมนตรีต่างๆ อย่างมากที่สุดที่ทำก็คือ การเอาผ้าหรือรูปภาพไปปิดรอยโหว่ไว้ไม่ให้ใครเห็นท่านั้น ดังนั้น ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ผลงานที่อ้างว่า มาเพื่อการปฏิรูปจึงแทบไม่ปรากฎเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นรูปแบบการบริหารที่เห็นกันจนชินเสมือนเป็น ‘วัฒนธรรมเพิกเฉย’ ไปแล้ว
กรณีหมู่บ้านป่าแหว่ง นายกรัฐมนตรีเคยรับปากกับชาวเชียงใหม่ว่าจะรื้ออย่างแน่นอน เมื่อกระแสต่อต้านจางลงไป บรรดาตุลาการก็โยกย้ายไปพำพักในหมู่บ้านนั้นเสมือนไม่เคยมีการต่อต้านใดๆ กรณีผู้พิพากษาคณากรไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในกระบวนการยุติธรรม แม้ว่าความยุติธรรมในกรณีลักษณะนี้มีนัยสำคัญยิ่งต่อเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ กรณีของจ่าจักร กลายเป็นเพียงความผิดเฉพาะตัวของคนที่ ‘ไม่ใช่ทหารตั้งแต่วินาทีที่ลั่นไก’ แม้จะมีการบีบน้ำตาและคำสัญญาปฏิรูปกองทัพภายใน 90 วัน ของผู้นำกองทัพ แต่ผ่านมาเกือบปี กระทั่งวันที่ผู้พูดเกษียณอายุราชการไป ความคืบหน้าของการปฏิรูปกองทัพยังคงไปไม่ถึงไหน และกรณีขององค์การสวนสัตว์ที่กำลังลามไปสู่เรื่องการค้าสัตว์ป่า ก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องติดตามกันต่อไป
สำหรับกรณี ‘ครูจุ๋ม’ เป็นอีกกรณีหนึ่งที่ได้เปิดเผยอาการพังของระบบการศึกษาต่อสาธารณะอย่างชัดเจนการคุกคามที่เกิดขึ้นจาก ‘ครู’ นำไปสู่คำถามถึงเรื่องความปลอดภัยในสถานศึกษาที่ต้องการคำตอบจากทั้งผู้บริหารโรงเรียนและแนวทางการแก้ปัญหาที่ชัดเจนจากกระทรวงศึกษาธิการ และเรื่องนี้ก็คือเรื่องเดียวกันกับการลุกขึ้นมาเรียกร้องของ ‘กลุ่มนักเรียนเลว’ ที่รวมตัวและชุมนุมเพื่อประท้วงและไล่รัฐมนตรีที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การศึกษาไทยเช่นกันที่มีปรากฏการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้น
กลุ่มนักเรียนเลวทำกิจกรรมรณรงค์สาธารณะหลายครั้งและได้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการทำร้ายร่างกายนักเรียนในโรงเรียนในมิติต่างๆที่ไม่ใช่เพียงการกระทำทางกาย แต่รวมไปถึงกฎระเบียบคำสั่งต่างๆที่เอื้อต่อการใช้อำนาจกดทับทั้งทางกายและจิตใจต่อนักเรียน มีการยื่นหนังสือต่อ ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ครั้งแรก วันที่ 5 ก.ย. และได้นัดชุมนุมอีกครั้งในสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งครั้งหลังนี้มาพร้อมหนังสือรอเซ็นลาออก 10,000 ชุด เนื่องจากเมื่อเวลาผ่านไปนานนับเดือน ปัญหาดังกล่าวยังคงไม่มีรูปธรรมของการแก้ไข สิ่งที่ได้รับกลับมาคือการนิ่งเฉย ครูทำร้ายร่างกายนักเรียน ตบตีนักเรียน และละเมิดสิทธิเสรีภาพของนักเรียนมาอย่างต่อเนื่อง โดยเจ้ากระทรวงมิได้มีความตั้งใจที่จะระงับยับยั้งเหตุเหล่านั้น หรือดำเนินการใด ๆ เพื่อคุ้มครองนักเรียนเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังดูถูกดูแคลนนักเรียนที่ออกมาเรียกร้องและปกป้องสิทธิเสรีภาพของตนเองว่ามีคนอยู่เบื้องหลัง หรือกระทั่งกรณี ‘ครูจุ๋ม’ เองที่เป็นเรื่องสะเทือนใจสังคมในวงกว้าง บทบาทของ ณัฏฐพล ในฐานะรัฐมนตรีกลับเงียบจนแทบจะหายไปจากหน้าสื่อ ทั้งที่ทุกคนในประเทศนี้ล้วนทราบดีว่า นี่คือปัญหาที่ใหญ่มากและต่างตั้งตารอการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน
ทั้งกรณีครูจุ๋มและการเรียกร้องของกลุ่มนักเรียนเลว คือการตั้งคำถามต่อปัญหาเดียวกัน เป็นการเรียกร้องไปที่หัวใจของการศึกษาที่ต้องให้ความสำคัญกับการปกป้องคุ้มครองชีวิตทั้งทางร่างกายและจิตใจ การ สร้างกระบวนการเรียนรู้เรื่องสิทธิเสรีภาพ สิทธิความเป็นมนุษย์ และการส่งเสริมการเรียนรู้ในการค้นหาตัวเอง ไม่ใช่การเรียนรู้เพื่อที่จะอยู่ในระบบ ‘อำนาจนิยม’ อย่างที่เป็นอยู่
ในการตั้งกระทู้ถามสด เมื่อวันที่ 26 ส.ค. วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ยังได้เคยถามรัฐมนตรีว่า การเรียกร้องของนักเรียนเรื่องมาตรการความปลอดภัยในโรงเรียนเพื่อไม่ให้ถูกคุกคามจากครูหรือผู้บริหาร สิ่งที่กระทรวงศึกษาธิการทำออกมามีเพียงหนังสือ 3 ฉบับ ที่อนุญาตให้นักเรียนสามารถทำกิจกรรมและแสดงออกทางการเมืองได้ แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่เป็นอย่างนั้น การแสดงออกทางการเมืองไม่ว่า ยกกระดาษสีขาวหรือผูกโบว์ยังคงถูกลงโทษ ซึ่งเป็นการทารุณกรรมที่ผิดกฎหมายอาญาในหลายมาตรา แต่ในฐานะเสนาบดีกระทรวง เมื่อมีนักเรียนทั่วประเทศถูกคุกคามโดยครูและผู้บริหารซึ่งเป็นผู้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาโดยตรง เหตุใดจึงยังปล่อยให้ทำผิดกฎหมายอาญาโดยไม่ปกป้องนักเรียน และต้องยอมรับเสียทีว่ากระดาษ 3 ใบ ที่ออกมาจากกระทรวงนั้นปกป้องนักเรียนไม่ได้ หากยังมีกรณีเหล่านี้อีกจะทำอย่างไร จะดำเนินวินัยและอาญาหรือไม่ จะอำนวยความสะดวกให้นักเรียน ผู้ปกครอง หรือกระทรวงจะเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษแทนพวกเขาหรือไม่ หรือจะยอมให้ครูเอาตำรวจไปจับเด็กอย่างเดียวเหมือนที่เกิดขึ้นมาแล้วเท่านั้น
คำตอบของรัฐมนตรีกระทวงศึกษาธิการต่อเรื่องนี้คือ การบอกให้ต้องยอมรับว่าเรื่องเหล่านี้เป็นประเด็นที่ทั้งครู นักเรียน ผู้ปกครองไม่คุ้นเคย ต้องใช้เวลาในการปรับตัว ปรับความคิด เวลานี้มีครูประมาณ 500,000 คน จะคาดหวังแนวปฏิบัติเหมือนกันไม่ได้ แต่ครูก็มีความเข้าใจชัดเจนขึ้น ต้องให้เวลาครูและนักเรียนอยู่ร่วมกันได้โดยสันติวิธี ไม่มีความจำเป็นต้องเอาเจ้าหน้าที่ตำรวจไปจับนักเรียนหรือครูในเรื่องที่คุยกันได้ คิดว่าครูมีวิจารณญาณในการตัดสินเพื่ออนาคตของนักเรียน แนะนำแนวทางที่ไม่สร้างความแตกแยกหรือขัดแย้งกันในโรงเรียน หวังว่าคงให้โอกาสครูทั่วประเทศในการทำหน้าที่
ถึงตอนนี้ กรณีการทำร้ายและคุกคามในโรงเรียนยังคงเกิดขึ้นเป็นปกติ ล่าสุด ได้มีกรณี #เบญคอน เกิดขึ้นอีก หลังจากที่มีนักเรียนบางคนแสดงความเห็นในทางตรงข้ามกับวิทยากรที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศนครศรีธรรมราช จัดให้มีการบรรยาย โครงการ “เสริมสร้างอุดมการณ์การรักชาติ” โดยนายทหาร ซึ่งกลุ่มที่เข้ารับฟังเป็นเด็กนักเรียน ม.1 และ ม.2 ซึ่งภายหลัง นักเรียนที่แสดงความเห็นต่างดังกล่าวได้โดนครูเรียกพบ พร้อมระบุว่า เป็นการกระทำที่ก้าวร้าว ก่อนจะโดนเชิญผู้ปกครอง และหักคะแนนความประพฤติ
ความเพิกเฉยของ ณัฏฐพล ต่อกรณีปัญหาต่างๆ สะท้อนมาจากการออกมาแสดงบทบาทเพียงไม่กี่ครั้งทั้งที่ปัญหายังคงปรากฏอย่างต่อเนื่องและมีความถี่ ขณะที่คำตอบยังเป็นไปในทิศทางที่เหมือนมองไม่เห็นสิ่งที่นักเรียนพยายามสะท้อนออกมา ยังคงไม่มีการสั่งการหรือแสดงบทบาทใดเพิ่มเติมเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ให้ดีขึ้น กลับกันคือยังคงมีท่าทีที่ปกป้องโครงสร้างแบบเดิมทั้งที่ปัญหากำลังกัดกร่อนการศึกษาทั้งระบบอย่างรุนแรง ดังเช่น การโพสต์เฟซบุ้คในวันที่ 4 ต.ค. ก็เพียงการบอกเพื่อขอความร่วมมือจากผู้บริหารโรงเรียนทั่วประเทศและครูช่วยกันแก้ปัญหาและป้องกันการคุกคามนักเรียนเท่านั้น ทั้งที่มีเหตุการณ์เชิงประจักษ์เกิดขึ้นในหลายต่อหลายครั้งและเป็นอาชญากรรมที่ไม่ควรเพิกเฉยได้อีก ตรงข้ามกลับกลายเป็นบรรดานักเรียนโดยเฉพาะแกนนำที่ถูกดำเนินคดีราวกับว่า ผู้ที่ชี้ให้เห็นรูสนิมของสังคมก็คือ ผู้ก่ออาชญากรรมทำลายสังคมไปเสียเอง
ปรากฏการณ์ในกระทรวงศึกษาธิการเป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างภายใต้วัฒนธรรมเพิกเฉยเท่านั้น ดังที่ยกตัวอย่างไปข้างต้น ยังมี ‘ปรากฏการณ์สนิม’ อีกมากมายในหลายกระทรวง หน่วยงาน และในโครงสร้างของรัฐ ซึ่งโชคร้ายอย่างยิ่ง เมื่อต้องมาเจอกับ ‘วัฒนธรรมเพิกเฉย’ ทั้งระบบ ภายใต้การบริหารแบบ รัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา จึงทำให้อดคิดไม่ได้ว่า เวลานี้ประเทศไทยอาจกำลังอยู่ในสถานการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อที่น่ากังวลเป็นอย่างยิ่ง