กรณ์ จาติกวณิช สนับสนุน LGBTQ ชูสิทธิเสมอภาคมาพร้อมโอกาสเศรษฐกิจ ลั่นยุทธศาสตร์ Rainbow Economy เป็นจริงได้ในไทย ดึงรายได้ 1.5 ล้านล้านเข้าประเทศ
เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า จัดทอล์กออนไลน์ร่วมกับแขกรับเชิญ 3 คน ได้แก่ กฤษณนัยย์ พิรยารังสรรค์ ผู้จัดละครไทยทาง VIU เรื่องอุ้มรักเกมลวง ซึ่งเป็นละครเกี่ยวกับคู่รัก LGBT และการอุ้มบุญ, นพ.โอฬาริก มุสิกวงศ์ สูตินรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์เจริญพันธุ์ และนายเทมส์ ไกรทัศน์ ผู้มีประสบการณ์โดยตรงในการจดทะเบียนสมรส LGBTQ+ จากไอร์แลนด์
นายกรณ์ กล่าวว่า ขอเป็นหนึ่งในหลายล้านคนทั่วโลกร่วมฉลอง Pride Month
เดือนแห่งความภาคภูมิใจของความหลากหลายทางเพศ พร้อมย้ำว่าในฐานะหัวหน้า “กล้า” ขอยืนยันว่าพรรคกล้า เราพร้อมสู้และช่วยผลักดันประเด็นทางกฎหมายในเรื่องสิทธิพื้นฐานเพื่อคนไทยทุกคน โดยเฉพาะหลักคิดต่อประเด็น LGBTQ+ เรายึดหลักว่า “บุคคลสองคน” ที่เป็นคู่ชีวิตกัน ควรมีสิทธิในการสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์เท่าเทียมกับคู่สมรส”
“เมื่อพูดถึงสิทธิพื้นฐานที่ควรได้รับความเสมอภาคนั้น ได้รวบรวมสิทธิพื้นฐานหลักๆ ที่ยังตรงนี้ยังไม่สมบูรณ์อยู่ 1.สิทธิสวัสดิการ 2.สิทธิในการรักษาพยาบาล 3.สิทธิการทำนิติกรรมสัญญา 4.สิทธิเรื่องการกู้ร่วม 5.สิทธิเรื่องการทำและรับสิทธิเงินประกัน 6.สิทธิเรื่องการรับมรดก 7.สิทธิที่เกี่ยวกับประเด็นภาษี และรวมถึงสิทธิอื่นๆ ที่เป็นประเด็นเรียกร้องพื้นฐาน” นายกรณ์ กล่าว
นายกรณ์ กล่าวว่า ยุทธศาสตร์นี้เป็นช่องทางเพื่อเพิ่มศักยภาพและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่ม LGBTQ+ ของไทย เป็นการเปิดตลาด การท่องเที่ยว การค้า และการลงทุน เพื่อสร้างสภาพทางเศรษฐกิจที่มีเอื้อต่อตลาดกลุ่ม LGBTQ+ ซึ่งจุดนี้เองจะกลายเป็นโอกาสเรื่องปากท้อง ตอบโจทย์อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่จะทำให้เป็นจริงได้ทั้งในเรื่องของสิทธิ ควบคู่ไปกับโอกาสทางเศรษฐกิจ จะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อกลุ่ม LGBTQ+ ไทยและรวมถึงคนไทยทุกคน เป็นช่องทางโอกาสในการทำมาหากินเพิ่มขึ้นด้วย โดยเม็ดเงินที่สามารถดึงดูดเข้าประเทศไทยคำนวณแล้วเป็นมูลค่ากว่า 1.5 ล้านล้านบาท หรือกว่า 10% ของ GDP ที่จะเข้ามาจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมครีเอทีฟเอนเตอร์เทนเมนท์ รวมไปถึง ประเด็นเมดิคัลฮับที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
ด้านนายกฤษณนัยย์ กล่าวว่า มองเห็นโอกาสในคอนเทนต์สร้างสรรค์เพื่อตอบโจทย์ตลาด LGBT โดยไทยสามารถเป็นศูนย์กลางในการผลิต และการเสริมสร้างโอกาสที่เชื่อมโยงกันในด้านต่างๆ เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่เศรษฐกิจไทยโดยรวม
ขณะที่นายเทมส์ กล่าวว่า จากประสบการณ์การจดทะเบียนสมรส LGBTQ+ จากไอร์แลนด์ นี่จะเป็นโอกาสให้ประเทศไทยเข้าสู่ประเทศที่มีความเสมอภาคด้านสิทธิพื้นฐานได้เร็วขึ้น หากเรามีโอกาสทางเศรษฐกิจมาเป็นตัวจูงใจเสริมจากความสำคัญของความเท่าเทียม
ส่วนนพ.โอฬาริก ได้ย้ำถึงประเด็นโอกาสทางเศรษฐิจจากจุดเด่นเรื่องเมดิคัลฮับของไทย ระบุว่า ไทยเป็น ท็อป 3 ของคุณภาพและบริการการผ่าตัดแปลงเพศและศัลยกรรม รวมถึงการทำเด็กหลอดแก้ว ซึ่งหากกฎหมายเปิดกว้างมากกว่านี้ เรื่อง Medical Hub และ Medical Tourism สำหรับ LGBTQ+ จะเพิ่มโอกาสได้อีกมาก”
นายกรณ์ กล่าวอีกว่า เม็ดเงิน 1.5 ล้านล้าน เข้ามาในรูปของนักท่องเที่ยวที่คนไทยทุกคนได้ประโยชน์ โดยเฉพาะคนไทยในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และกระจายเม็ดเงินนี้ไปได้ทั่ว ซึ่งเป็นลักษณะการกระจายรายได้โดยอัตโนมัติ ที่สำคัญเม็ดเงินนี้ยิงตรงไปที่ผู้บริการ นอกจากนี้ประเด็นการแก้ปัญหาเรื่องโควิดได้ดีของไทย ทำให้ชื่อเสียงเราดีขึ้นมาก ตรงนี้เมดิคัลทัวริซึมจะเป็นตัวดึงดูดสำคัญ ที่ย้ำภาพลักษณ์ที่ดีของไทยมากยิ่งขึ้น”
“ผูกรวม 2 ยุทธศาสตร์ใหม่ Rainbow Economy เรามาสามารถเชื่อมกับ Silver Economy ได้อีกด้วย หลายประเทศโดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้วเข้าสู่สังคมสูงอายุ ไทยเราได้เปรียบในทุกๆ เรื่อง เพราะฉะนั้นเรามีโอกาสแล้วความเป็นไปได้สูงมาก ที่เราจะดึงดูดและดูแลคนสูงวัยที่เป็น LGBTQ ให้มาอยู่เมืองไทย เมื่อนั้นเขาจะต้องซื้อบ้าน จับจ่ายใช้สอย รวมถึงใช้บริการสาธารณสุขของไทยอย่างพรีเมียมอีกด้วย ผมขอย้ำว่าเมืองไทยตอบโจทย์ที่สุดที่การดูแลคนกลุ่มนี้” นายกรณ์ กล่าว
