ลุงตู่ แม้ว่าช่วงนี้สภาผู้แทนราษฎรจะปิดสมัยการประชุมไปแล้วก็ตาม และในเร็วนี้ก็กำลังจะเปิดการประชุมสภาฯครั้งที่ 2 แต่ในช่วงที่ปิดการประชุม หรือเรียกง่ายๆปิดเทอมนั้น บรรดาส.ส. ก็ไม่ได้หยุดปฏิบัติหน้าที่เพื่อพี่น้องประชาชนแต่อย่างใด บ้างก็ลงพื้นที่พบปะประชาชน และส.ส.บางส่วนก็ต้องทำงานในคณะกรรมการธิการ (กมธ.) เพราะตามโครงสร้างและวัตถุประสงค์ของการมีกมธ.แต่ละคณะขึ้นมา เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน โดยกมธ.แต่ละชุดก็มีส.ส.ของจากหลายฝ่ายหลายพรรค ซึ่งกมธ.ที่มีประธานอยู่คนละซีกกับฝ่ายรัฐบาล ก็ต้องรุดหน้าการทำงานเชิงตรวจสอบฝ่ายบริหารอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ
จนล่าสุดเกิดปัญหาภายในกมธ.ขึ้น โดยส.ส. สงขลา พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายพยม พรหมเพชร ที่อยู่ในอยู่ในกมธ. การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ที่มีพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย เป็นประธานกมธ.นั้น ออกมาระบุว่า ขอลาออกจากกมธ.ชุดนี้
พร้อมให้เหตุผลว่า “มีความรู้สึกอึดอัดใจในการทำหน้าที่ โดยเฉพาะการที่ต้องทำงานร่วมกับพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ซึ่งตนยังมีฐานะเป็นโฆษกกรรมาธิการ ที่จะต้องรับผิดชอบในการลงมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ซึ่งก็ก่อให้เกิดความรู้สึกอึดอัดใจ เพราะต้องยอมรับว่าตนคือ ส.ส.พรรคพปชร. ที่มีวางเชื่อมั่นในการเสนอพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่มาวันนี้จะให้ตนแถลงข่าวเพื่อดิสเครดิตพล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาล ตนทำไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้นก็คงเสียคน”
นี่คือถ้อยคำความอึดอันตันใจของส.ส.พปชร.ท่านนี้ เพราะพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ในฐานะประธานกมธ.ชุดนี้ ก็เล่นเอาโจมตีพล.อ.ประยุทธ์ อย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน โดยต้องการให้พล.อ.ประยุทธ์ รวมถึงพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เข้ามาชี้แจงต่อกมธ. ถึงกรณีการเสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หลังคณะรัฐมนตรีถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบ
ตามหลักกฎหมายแล้วกมธ.มีสิทธิ์ที่จะใช้อำนาจตามพ.ร.บ.คำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนและวุฒิสภา พ.ศ.2554 เพื่อเรียกให้ชี้แจงในประเด็นต่างๆได้ เหมือนกับกรณีที่กมธ. ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ เชิญพล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ท.บ.) กรณีการบรรยายพิเศษ หัวข้อ “แผ่นดินของเราในมุมมองความมั่นคง”
ขณะที่ นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ได้หยิบยกโทษของกมธ. ที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามพ.ร.บ.ดังกล่าวไว้ว่า “ใช่ว่าจะใช้อำนาจได้ตามอำเภอใจ ใช้อำนาจผิดมีสิทธิติดคุกเอง มาตรา 12 พ.ร.บ.คำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ระบุไว้ชัดเจน เพื่อเป็นหลักประกันความเป็นธรรมให้กับทุกคนที่กรรมาธิการใช้อำนาจตามพ.ร.บ.คำสั่งเรียกด้วย กรรมาธิการผู้ใดปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปี”
นอกจากนี้ ในส่วนอีกหนึ่งคำพูดที่ส.ส.พรรคพปชร. กล่าวไว้ว่าถือว่าน่าสนใจเช่นกัน คือ “การเข้าร่วมประชุมในแต่ละครั้ง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไม่เคยคุมการประชุมให้อยู่ในวาระประชุมเลย โดยที่ไม่สนใจในประเด็นใหม่ใหม่ หรือเรื่องที่เป็นประโยชน์กับประชาชนเลยมุ่งเน้นเพียงแต่ต้องการหาประเด็นจากพล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร อย่างเช่นล่าสุดก็ จะรื้อคดีนาฬิกาหรูขึ้นมาพิจารณาใหม่ ซึ่งตนมองว่า เรื่องดังกล่าวจบสิ้นกระบวนการพิจารณาไปแล้ว ตนจึงไม่เห็นถึงประโยชน์ที่ต้องรื้อเรื่องนี้ขึ้นมาอีก เพราะเป็นการทำงานที่ถอยหลังลงคลอง สิ้นเปลืองเบี้ยประชุมที่มาจากภาษีประชาชน”
ซึ่งการที่ออกมาแฉแบบนี้ ก็คงทนไม่ไหวจริงๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่ออกมาพูดในลักษณะเช่นนี้ แต่พรรคพปชร.เองก็ส่งตัวแทนไปทำหน้านี้แทนเช่นกัน แม้นายพนมได้ประกาศขอลาออก แต่ก็ได้ส่งนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. ไปสู้ศึกครั้งนี้แทน เมื่อพูดถึงส.ส.ท่านนี้หลายคนคงจำกันได้ว่า นายสิระ เป็นคนกล้าสู้และกล้าชน รวมถึงออกมาตอบโต้ต่อสู้กับฝ่ายค้านอยู่หลายเรื่องเช่นกัน
โดยนายสิระ ก็ได้ประกาศตัวว่าพร้อมเดินหน้าท้าชนกับพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ และไม่ได้หวังที่จะเข้าไปเป็นศัตรูหรือขวางการทำหน้าที่ของกมธ. พร้อมเชื่อว่าคงมี ส.ส. ในกรรมาธิการชุดนี้อีกหลายท่านที่ไม่อยากทำงานร่วมกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ อีกด้วย
จากนี้ต้องดูว่าหมากเกมนี้พปชร.จะสามารถพลิกเกมฝ่ายค้านได้หรือไม่ เพราะองครักษ์พิทักษ์ลุงตู่ก็พร้อมท้าชนเต็มที่ แต่ทั้งหมดอย่าลืมว่าส.ส.ทุกคน คือ ตัวแทนของประชาชน ที่ได้โอกาสมาทำหน้าที่ตรงนี้ ดังนั้นต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง รวมถึงผลประโยชน์ของชาติ เพื่อลดข้อครหาจากประชาชนที่เห็นจากโพลต่างๆว่าอยากให้ส.ส.เลิกทะเลาะกัน และหันมาทำงานเพื่อบ้านเมืองกันบ้าง