“พล.อ.ประยุทธ์” จัดชุดไล่ล่า หาต้นเหตุทำ หน้ากากอนามัย แพง-ขาดตลาด สั่งสาวไส้ไปจนถึงโรงงานผลิต ย้ำต้องคุมราคาไม่เกิน 2.50 บาท พร้อมสั่งบีโอไอ วางแผนขยายตั้งโรงงานเพิ่ม
เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2563 ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงปัญหาหน้ากากอนามัยไม่เพียงพอความต้องการประชาชน ว่า กำลังให้ชุดติดตามช่องทางการขายหน้ากากดูว่ามาอย่างไร ซึ่งเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2563 ได้เคลียร์ไปแล้วจากโรงงานไปสู่ผู้แทนการขาย ร้านค้า ร้านจำหน่าย เดี๋ยวจะไปตรวจร้านค้าย้อนกลับขึ้นไปข้างบนว่าสั่งซื้อที่ไหน อย่างไร ทำไมไม่ได้ของ หรือว่าของมันน้อย เพราะปริมาณที่เขาสรุปมาในขณะนี้มีประมาณวันละล้านกว่าชิ้น หากจำหน่ายตามช่องทาง และร้านค้าที่ว่าจริงก็จะโอเค
ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งได้แบ่งให้กระทรวงสาธารณสุขไปใช้ทางด้านบุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาล และบางส่วนนำไปจำหน่ายในร้านค้าขององค์การเภสัชกรรม รวมประมาณ 3 แสนกว่าชิ้น ที่เหลือ 7-8 แสนชิ้นไปอย่างไร เพราะตอนนี้เราคุมได้จากโรงงานผลิตได้เท่าไร
“เดี๋ยวจะไปตรวจบัญชีว่าส่งไปที่ไหนบ้าง เพื่อที่จะหาให้เจอว่าหายไปไหน กักตุนหรือเปล่า ลักลอบขายต่างประเทศหรือไม่ เพราะตอนนี้ต่างประเทศให้ราคาสูงขึ้น ถ้าเทียบราคาหน้ากากอนามัยในหลายประเทศราคาสูงมาก แต่เราจะควบคุมให้อยู่ในราคา 2.50 บาท ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงเรื่องสุขภาพและให้ความเป็นธรรมกับบรรดาผู้ผลิตด้วย ไม่อย่างนั้นไปกันไม่ได้ ไม่ใช่ตั้งราคากันไปเรื่อยเปื่อย” นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวอีกว่า ปัญหาของเราคือวัสดุต้นทุนการผลิตต้องซื้อมาจากต่างประเทศดังที่ได้เคยได้บอกไปแล้ว ทำให้เรายังทำเพิ่มเองไม่ได้ หรือตั้งโรงานใหม่ได้ โดยวัสดุในวันนี้มาจากจีน ไต้หวัน อินโดนีเซีย เป็นหลัก ในขณะนี้ลดส่งเข้ามาครึ่งต่อครึ่ง เพราะเขาก็ต้องใช้ในประเทศเหมือนกัน จึงเป็นประเด็นที่เราต้องขยายโรงงานมาเสริมตรงนี้ จากเดิมที่โรคดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก การลงทุนกับสิ่งเหล่านี้จึงยังมีน้อย ซึ่งได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)ไปดูเรื่องการขยายโรงงงาน และจะหาวัสดุต้นทุนได้อย่างไร ทำเองได้หรือไม่ เพราะโรงงานพวกนี้เราไม่มี ดังนั้นขอให้เข้าใจกันด้วย