เพจพรรค ก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊ก จาก “ไม่ได้ฉลาดน้อย” ถึงคำขู่ “ระวังตัวบ้างแล้วกัน” เกิดอะไรขึ้นบ้างในสภาผู้แทนราษฎร หลังจากการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยระบุว่า “ไม่บ่อยนักที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะลุกขึ้นตอบการอภิปรายของพรรคก้าวไกลด้วยตนเอง แม้กระทั่งย้อนกลับไปในสมัยพรรคอนาคตใหม่ ภาพส่วนใหญ่ที่เห็นก็คือ การให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ชี้แจง หรืออย่างมากคือการพูดกระทบชิ่ง แต่ไม่ได้ตอบโต้กันซึ่งหน้า
ปรากฏการณ์หลังการอภิปรายของ สุรเชษฐ์ ประวีณวงษ์วุฒิ จึงเป็นครั้งแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์ ลุกขึ้นมาชี้แจง ส.ส.พรรคก้าวไกล ทั้งที่ประเด็นของการอภิปรายเป็นเรื่องงบประมาณด้านการคมนาคมซึ่งเป็นกระทรวงในความรับผิดชอบของพรรคภูมิใจไทย พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่าเป็นการพูดจาในลักษณะที่มีการเสียดสี ดูถูกสติปัญญา และต้องออกตัวว่า ไม่ใช่คนที่ฉลาดน้อย พร้อมโต้กลับอย่างร้อนแรง
“งบประมาณที่ออกไปให้กับแต่ละหน่วยงานก็เป็นไปตามภารกิจของเขา เราก็เริ่มทยอยทำมา ไม่ทันใจท่านหรอก ไม่ทันใจที่ท่านจะเปลี่ยนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของเราได้ ไม่ทันใจหรอก ถ้าท่านจะรื้อทั้งหมด รื้อระเบียบการบริหารราชการแผ่นดินทั้งหมด ยังทำไม่ได้ทั้งหมดตอนนี้หรอก”
นั่นจึงเป็นที่มาที่ทำให้ ศิริกัญญา ตันสกุล ตัดสินใจอภิปรายโต้กลับไปอย่างร้อนแรงเช่นกัน
“ย้ำอีกครั้งว่า สิ่งที่เราอยากให้ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และไม่ทันใจ ไม่ใช่ทันใจพวกเรา ก้าวไกล แต่ไม่ทันใจประชาชน คือตัวท่านนายกรัฐมนตรีเอง แทนที่ท่านจะตระหนัก เมื่อสักครู่ท่านกลับเอาสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์มา กลบเกลื่อนความผิดพลาดของท่านเอง ท่านต้องปรับทัศนคติ เลิกคิดว่าคนเห็นต่างจากท่าน เป็นพวกชังชาติ พวกไม่หวังดี เลิกป้ายสีว่าคนเห็นต่างจากท่าน เป็นพวกคิดร้ายต่อสถาบันหลักของชาติ ประชาชนรอการเปลี่ยนแปลงมา 6 ปี แต่มันไม่ทันใจจริงๆ เราจึงรอไม่ได้อีกต่อไป ถึงเวลาแล้วที่ท่านควร “ยุบสภา” คืนอำนาจให้ประชาชน”
หลังจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จึงลุกขึ้นมาอภิปรายอีกรอบหนึ่ง แต่คราวนี้กลับมาพร้อมกับคำขู่
“หลายท่านเป็นคนรุ่นใหม่ พูดเก่ง ผมยอมรับ แต่อย่ามากล่าวหาว่า ผมใช้กฎหมายไปจัดการผู้เห็นต่าง กฎหมายก็อยู่เฉยๆ ผมก็อยู่เฉยๆ ใครผิดกฎหมายก็โดนลงโทษ ผมไปสั่งเขาได้ไหม ถ้าสั่งได้คงไม่เป็นอย่างนี้แต่ผมไม่ได้สั่ง ระวังตัวบ้างก็แล้วกัน”
จากนั้น อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล จึงขอใช้สิทธิพาดพิงทันที
“ที่นายกฯพูดว่าให้ระวังตัวไว้ก็แล้วกันนั้น ต้องระวังตัวเรื่องอะไรบ้าง และมีอันตรายกับพวกเราที่ทำให้ต้องระวังตัว จะได้เตรียมพร้อมรับไว้ ”
พล.อ.ประยุทธ์ลุดขึ้นพูดแทรกอย่างทันควัน จนรองประธานสภาก็ยังห้ามไม่ทัน “คุณไปสร้างความไม่เข้าใจแบบนี้ไม่ได้ คุณก็ต้องระวังตัวของคุณ ผมก็ต้องระวังตัวของผม อย่าทำผิดกฎหมาย ความหมายของผมคือแค่นี้ ผมจะไปขู่อะไรท่าน ผมขู่ได้ไหม กฎหมายท่านยังไม่กลัวเลย แต่ผมกลัวนะครับ” พล.อ.ประยุทธ์ ปิดไมค์แล้วเดินออกจากห้องประชุมทันที
“ถ้ามีคนข้างบ้านมาพูดว่าระวังตัวไว้ให้ดี ดิฉันรู้สึกว่าเป็นการข่มขู่ค่ะ” อมรัตน์ หันไปบอก ศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯ คนที่สอง ซึ่งได้รับการชี้แจงกลับมาว่าเป็นการเข้าใจความหมายผิด
“เป็นแค่การเข้าใจผิดใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้น ดิฉันก็จะบอกว่า นายกรัฐมนตรีระวังตัวไว้ด้วยก็แล้วกันนะคะ” อมรัตน์ตอบ
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น หนึ่งในประเด็นสำคัญคือ การที่ พล.อ.ประยุทธ์ พยายามยกอ้างเรื่องการเคารพกฎหมายและปักป้ายมาที่พรรคก้าวไกลอย่างชัดเจนหลายครั้งว่าไม่เกรงกลัวกฎหมาย ในขณะที่ยังไม่ปรากฏทั้งพยานหรือหลักฐานใดที่บ่งชี้ในทางนั้น สิ่งที่พรรคก้าวไกลดำเนินการคือยืนยันในการปกป้องสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์โดยสันติ และการร่วมตามหาความจริงในหลายเรื่อง นอกจากนี้ยังออกมาร่วมปกป้องการข่มขู่คุกคามหรือละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อประชาชน
ในทางกลับกัน ในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันว่า เกรงกลัวกฎหมายนั้น ความย้อนแย้งสำคัญที่สุดที่แม้แต่เจ้าตัวอาจหลงลืมไปก็คือ การรัฐประหารยึดอำนาจและฉีกรัฐธรรมนูญ คือสิ่งที่ชัดเจนที่สุดในการแสดงออกถึงการไม่เคารพกฎหมายแม้กระทั่งกฎหมายนั้นคือกฎหมายสูงสุดของประเทศ อีกทั้งการกระทำนี้ยังมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 ที่ระบุให้เป็นกบฎ โทษสูงสุดคือจำคุกตลอดชีวิตและประหารชีวิต
ทางออกของ พล.อ.ประยุทธ์ และคณะรัฐประหาร ก็เหมือนนายทหารรุ่นพี่ที่ทำกันมาคือ ยึดอำนาจ ตั้งตนเป็นรัฏฐาธิปัตย์ แล้วจึงออกกฎหมายนิรโทษกรรมตัวเองทั้งในอดีต ปัจจุบัน และผูกพันถึงอนาคต เรียกได้ว่า สบายตัวไปแล้ว แต่สำหรับประชาชน สิ่งที่น่ากังวลคือผลพวงและกลไกของการรัฐประหารยังคงอยู่ในรัฐธรรมนูญ ขณะนี้ยังมาพร้อมกับการคงไว้ซึ่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ด้วยข้ออ้างทางสาธารณสุข ขณะที่การข่มขู่คุกคามนักกิจกรรมกำลังขยายตัวในหลายพื้นที่และกระทำโดยเจ้าหน้าที่มีทั้งในและนอกเครื่องแบบ
ด้วยปรากฏการณ์ที่ดำเนินไปเช่นนี้ คำว่า “ระวังตัวไว้บ้าง” จึงไม่อาจมองได้ด้วยความหมายอย่างธรรมดา เพราะไม่รู้ว่าอันตรายที่อาจเข้ามานั้น จะมาภายใต้กฎหมายหรือนอกกฎหมายกันแน่”