ณธีภัสร์ ชี้ พ.ร.ก.อุ้มตราสารหนี้ “ลำเอียง” อุ้มแค่บริษัทใหญ่ เทียบสัดส่วนช่วย SMEs ต่าง 12,167 เท่า
เฟซบุ๊กพรรค ก้าวไกล โพสต์ระบุว่าเมื่อ วันที่ 31 มิถุนายน 2563 นาย ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้ลุกขึ้นอภิปราย พ.ร.ก. การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ. 2563 หรือ พ.ร.ก. อุ้มตราสารหนี้
ณธีภัสร์ชี้ รัฐบาลอุ้มทุนใหญ่มากกว่า SMEs กล่าวคือ ผลของ พ.ร.ก. ฉบับนี้จะส่งผลให้เกิดการจัดตั้งกองทุนรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ หรือ BSF (Bond Stabilization Fund) ซึ่งกองทุนนี้จะไปลงทุนให้กับบริษัทที่ออกตราสารหนี้ต่างๆเพื่อเสริมสภาพคล่อง โดยตราสารหนี้ที่จะได้รับการช่วยเหลือจะต้องเข้าเกณฑ์ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด รวมทั้งต้องถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม investment grade หรือ BBB ขึ้นไป ซึ่งข้อเท็จจริงคือบริษัทที่ถูกจัดให้อยู่ในระดับนี้เป็นบริษัทใหญ่ๆทั้งสิ้น
ความลำเอียงคือเป็นการช่วยเหลือที่บิดเบี้ยว เพราะสัดส่วนเงินที่ช่วยเหลือทุนใหญ่กับ SMEs ต่างกันมาก โดยถ้าดูจากขนาดตลาด สินเชื่อธนาคารทั้งหมด 15.3 ล้านล้านบาท เป็นสินเชื่อ SMEs 5.1 ล้านล้านบาท ซึ่งรัฐบาลใช้เม็ดเงินเข้าไปอัดฉีดจำนวน 5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นเพียง 10 % ของตลาดสินเชื่อ SMEs เท่านั้นเอง แต่เมื่อดูตลาดตราสารหนี้เอกชนทั้งหมดในประเทศไทยมีประมาณ 3.8 ล้านล้านบาท และเข้าหลักเกณฑ์ช่วยเหลือตาม พ.ร.ก. ฉบับนี้ คือ 8.9 แสนล้านบาท แล้วรัฐบาลให้เม็ดเงินช่วยเหลือ 4 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 45 % ของตราสารหนี้ที่เข้าหลักเกณฑ์ นั่นหมายความว่า รัฐบาลให้เงินพยุงตลาดฝั่งทุนใหญ่มากกว่า SMEs ถึงเกือบ 5 เท่า
ยิ่งไปกว่านั้น พ.ร.ก. ฉบับนี้กำหนดว่าตราสารหนี้ที่จะเข้าร่วมโครงการต้องมีการระดมทุนจากแหล่งอื่นไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ถ้ามูลค่าตราสารหนี้ที่เข้าหลักเกณฑ์ มีทั้งหมด 8.9 แสนล้านบาท แปลว่าอย่างมากตราสารหนี้ที่จะเข้าร่วมโครงการได้ก็จะไม่เกิน 445,000 ล้านบาท แล้ววงเงินที่รัฐอัดฉีดเข้าไปคือ 4 แสนล้านบาท จะเห็นได้ว่าครอบคลุมถึง 90 % และไม่ใช่ทุกบริษัทจะขอรับ เช่น โตโยต้าออกมาประกาศว่าจะไม่ขอใช้ประโยชน์จากกองทุนนี้ หมายความว่ารัฐบาลสามารถอุ้มคนรวยได้เกือบทั้งหมด แต่วงเงินที่รัฐตั้งให้ SMEs สามารถช่วย SMEs เพียง 10% เท่านั้น
ที่น่าตกใจคือเมื่อตนไปค้นข้อมูลดู บริษัทที่เข้าหลักเกณฑ์ได้รับความช่วยเหลือมีเพียง 125 บริษัทเท่านั้น ซึ่งเมื่อตั้งหารแล้ว จะหมายความว่าทุนใหญ่จะได้รับความช่วยเหลือรายละประมาณ 3,200 ล้านบาท ในทางกลับกัน SMEs จะได้รับจัดสรรเฉลี่ยประมาณรายละ 263,158 บาทเท่านั้น ซึ่งจะต่างกันเกือบ 12,167 เท่าเลยทีเดียว
ระบุ ความยากในการหาแหล่งเงินทุนและเงินกู้ของทุนใหญ่และSMEs ต่างกันเยอะและ มีต้นทุนดอกเบี้ยที่ต่างกันด้วย เนื่องจากมีสายป่านที่ยาวไม่เท่ากัน นอกจากนี้เมื่อไปดูในรายละเอียดบริษัทที่ได้ประโยชน์จำนวนเพียง 125 จาก พ.ร.ก.ฉบับนี้ แต่เกือบครึ่งเป็นบริษัทในเครือทุนใหญ่ของประเทศไทย คือ CP, Thai Bev, SCG, และ ช.การช่าง ซึ่งเครือ CP มีตราสารหนี้ทั้งหมด 68 ตัวจาก 5 บริษัท รวมมูลค่า 185,386 ล้านบาท คิดเป็น 21% หรือ 1 ใน 5 ของขนาดหุ้นกู้ที่เข้าข่ายได้ประโยชน์
“จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องไปช่วยมหาเศรษฐีซึ่งเป็นทุนใหญ่เหล่านี้ และยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า กลุ่มทุนเหล่านี้มีส่วนร่วมในเครือข่ายประชารัฐ ใกล้ชิดกับรัฐบาลเผด็จการทหารอย่างแน่นแฟ้น”
พร้อมกันนี้ ณธีภัสร์ได้เรียกร้องให้ทุนใหญ่ที่ดูแลตัวเองได้ ประกาศไม่รับความช่วยเหลือและไม่ใช่ผลประโยชน์จาก พ.ร.ก. ฉบับนี้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ควรให้ธนาคารแห่งประเทศไทยกลับไปคิดใหม่โดยนำเงินไปช่วย SMEs เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้เรื่องที่ตนกังวลคือ อำนาจล้นฟ้าของคณะกรรมการต่างๆที่ตั้งขึ้นมาจาก พ.ร.ก.ฉบับนี้ เมื่อเข้าไปดูรายชื่อและตำแหน่งของคณะกรรมการที่จะตั้งขึ้น เป็นคนของ ธปท. และกระทรวงการคลังทั้งนั้น ถึงแม้จะมีการตั้งผู้ทรงคุณวุฒิแต่ผู้เสนอชื่อก็เป็นกระทรวงการคลัง ซึ่งก็อาจจะถูกครอบงำหรือสั่งการได้ จึงเกิดคำถามด้วยว่า เลือกกันเอง ทำงานกันเอง ประเมินผลกันเอง ชงกันเองและกินกันเองใช่หรือไม่
อีกหนึ่งเรื่องในอีกหลายเรื่องที่น่ากังวลคือ คณะกรรมการลงทุนจะมีตัวแทนจาก กบข. หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ด้วย ซึ่ง กบข.มีการลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุน รวมกันกว่า 1.1 แสนล้านบาท จึงถือเป็นผู้เล่นที่ใหญ่รายหนึ่งในตลาด ทำให้เกิดข้อกังวลคือในฐานะผู้เล่นรายใหญ่ แต่เข้าไปมีอำนาจในฐานะคณะกรรมการการลงทุน ที่เป็นผู้เลือกว่า จะช่วยหรือไม่ช่วยตราสารหนี้ตัวไหน และรู้ข้อมูลล่วงหน้าว่าจะมีการอุ้มบริษัทใด เหล่านี้จะทำให้ กองทุน กบข. ได้ประโยชน์และได้เปรียบกองทุนอื่นๆหรือไม่ หากอ้างว่าเป็นกองทุนของรัฐจึงต้องเข้าไปมีบทบาท แล้วกองทุนประกันสังคม ที่มีจำนวนตราสารหนี้มากกว่า เหตุใดจึงไม่มีบทบาทในคณะกรรมการนี้ หรือกองทุนของข้าราชการสำคัญกว่ากองทุนของผู้ใช้แรงงานอย่างนั้นหรือ
เหล่านี้คือการขัดกันแห่งผลประโยชน์และผิดหลักธรรมาภิบาลสากลอย่างชัดเจน ที่ห้ามไม่ให้ผู้เล่น และผู้กำหนดนโยบาย เป็นคนหรือกลุ่มเดียวกัน
นอกจากนี้มาตรา 19 ของ พ.ร.ก.ฉบับนี้ที่เปิดช่องให้ ธปท. และ รมว.กระทรวงการคลัง สามารถเข้าซื้อขายตราสารหนี้ที่มิใช่ตราสารหนี้เอกชนที่ออกใหม่ หรือซื้อหุ้นกู้ในตลาดรองได้ ซึ่งมาตรานี้ ไม่มีการกำหนดขอบเขตและขนาดจำนวนเงินที่จะเข้าไปอุ้มอย่างชัดเจน หมายความว่าคือการตีเช็คเปล่าให้ รมว.กระทรวงการคลังคนเดียวมีอำนาจสั่งซื้อหุ้นกู้ตัวใดก็ได้ จำนวนเงินเท่าใดก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นตราสารหนี้ในตลาดรองมีความเสี่ยงสูงกว่า อีกทั้งมาตรา 19 นี้อาจจะขัดกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตรา 77 วรรค 3 ด้วย
ณธีภัสร์ยังทิ้งท้ายด้วยว่า “ถ้ากฎหมายที่เขียนขึ้นเพื่อกู้วิกฤตเศรษฐกิจจากโควิด19 ยังมีหน้าตาเช่นนี้ สังคมไทยหลังโควิดจะยิ่งตอกย้ำความเหลื่อมล้ำ ซึ่งมีมากอยู่แล้ว ให้มากขึ้นเป็นทวีคูณ อาจได้เห็นคนที่ไม่ได้ตายเพราะพิษโควิด แต่จะตายเพราะไม่มีเงินซื้อข้าวกิน นอกจากนี้กองทุน BSF เปรียบเสมือนโรงพยาบาลสนามขนาดใหญ่มาก แต่ทำไว้ให้กับคนที่ไม่ได้ป่วยไข้ แต่ในทางกลับกัน โรงพยาบาลสนามที่ทำไว้ให้คนป่วยจริงอย่างธุรกิจ SMEs และประชาชนกลับมีเตียงไม่พอ คนกลุ่มนี้ต้องยืนรออยู่หน้าโรงพยาบาล และนอนตายเกลื่อนกลาดอยู่หน้าโรงพยาบาลเพราะมีเตียงไม่พอ เมื่อเป็นเช่นนี้ ตนจึงไม่สามารถยอมรับ พ.ร.ก. ที่ลำเอียงฉบับนี้ได้ “