ศาลชั้นต้นมีคำตัดสินให้ลงโทษประหารชีวิตนายนวัต เตาะเจริญสุข สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 7 จังหวัดขอนแก่น หลังตกเป็นผู้ต้องหาในคดีจ้างวานฆ่าอดีตปลัด อบจ.ขอนแก่น
วันที่ 24 กันยายน 2562 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 นายนวัธ เตาะเจริญสุข ส.ส.พรรคเพื่อไทย เขต 7 จังหวัดขอนแก่น ได้มาตามนัดศาลจังหวัด ขอนแก่น คดีดำเลขที่ อ.929/61 โดยมีอัยการจังหวัดขอนแก่น เพื่อฟังคำพิพากษา ในคดีที่อัยการเป็นโจทก์ ฟ้องเป็นจำเลย ฐาน จ้างวานฆ่านายสุชาติ โคตรทุม อดีตปลัด อบจ.ขอนแก่น ซึ่งหลังศาลอ่านคำพิพากษานานประมาณ 40 นาที ศาลพิพากาให้ลงโทษประหารชีวิต นายนวัธ เตาะเจริญสุข
พล.ต.ต.ไพโรจน์ กุจิรพันธ์ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนภาค 4 กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 พ.ค. 56 ซึ่งขณะนั้นตนเองกำลังดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ สถานีตำรวจภูธรเมืองขอนแก่น โดยก่อนหน้าที่ตำรวจจะออกหมายจับนายนวัธ ตำรวจสามารถจับกุมคนร้ายกลุ่มมือปืนได้ทั้งหมดหลังจากได้รับสารภาพว่านายนวัธ เป็นคนจ้างวานฆ่า จนกระทั่งศาลจังหวัดขอนแก่นลงวันที่ 3 เมษายน 2561 ได้ออกหมายจับนายนวัธ เตาะเจริญสุข อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยเขต 8 ขอนแก่น(ในขณะนั้น)ในข้อหากระทำความผิดฐานจ้างวานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
และในวันนี้ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาโดยลงโทษประหารชีวิตนายนวัธ รวมทั้งชดใช้ค่าปลงศพ และค่าเลี้ยงดูบุตรของอดีตปลัด อบจ.ขอนแก่น เนื่องจากมีหลักฐานสำคัญต่างๆทั้งพยานบุคคลคือ จำเลยทั้ง 4 คน ที่สารภาพก่อนหน้านี้ รวมทั้งหลักฐานการโทรศัพท์ระหว่างนายนวัธกับจำเลย ที่ร่วมกันก่อเหตุ หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ จึงไดตัดสินออกมาในวันนี้
ก่อนหน้านี้ตำรวจสามารถจับกุมคนร้ายจำนวน 4 คน ที่ร่วมกันก่อเหตุได้คือ ดาบตำรวจวีระศักดิ์ชำนาญผล จำเลยที่ 1 พันตำรวจโทสมจิตร แก้วพรม รองผกก.(ป) สภ.หนองเรือจำเลยที่ 2 นายประพันธ์ ศรีพิลัย จำเลยที่ 3 นายบุญช่วย จูงกลาง จำเลยที่ 4 และนายปิยะพงษ์ มีกำบัง จำเลยที่ 5 และเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2559 ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้พิพากษาตัดสินประหารชีวิตจำเลยที่ 2 คือพันตำรวจโทสมจิตร แก้วพรม ส่วนอีก 4 คน ศาลได้ตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต
ซึ่งเป็นการพิพากษาแก้จากศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2557โดยคำพิพากษาระบุว่า พ.ต.ท.สมจิตร แก้วพรม จำเลยที่ 2 และ นายประพันธ์ ศรีวิลัย จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยมิได้ไตร่ตรองไว้ก่อนด้วยเหตุแห่งพฤติกรรมมีการลงไปพูดคุยและผลักผู้ตายเข้าไปในรถประกอบกับรถที่จอดขวางผู้ตายมิใช่ลักษณะเตรียมพร้อมจะหลบหนีจึงไม่น่าเป็นเรื่องที่ตั้งใจทำเพราะถ้าเช่นนั้นก็ต้องมีการยิงเลยแต่มีการพูดคุยมีการทำร้ายร่างกายแล้วจึงลงมือยิงจึงพิพากษาจำเลยที่ 2 และ 3 มีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นให้จำคุกตลอดชีวิต
แต่จำเลยที่ 3 ให้การเป็นประโยชน์เป็นเหตุให้บรรเทาโทษให้ 1 ใน 4 รวมกับความผิดพ.ร.บ.อาวุธปืนคงให้จำคุกจำเลยที่2 ตลอดชีวิตสถานเดียวจำเลยที่3 รวมโทษจำคุก37 ปี14 เดือน30 วันส่วนจำเลยที่1 ที่4 และที่5 ซึ่งให้การปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องและพยานหลักฐานไม่สามารถนำสืบได้ว่าจำเลยที่3 รู้มาก่อนว่าจำเลยที่2 และ3 จะมาฆ่าผู้ตายจึงให้ยกฟ้องและจากนั้นจำเลยที่2 และ3 ได้มีการอุทธรณ์เช่นเดียวกับฝ่ายผู้เสียหาย