นิยม ลั่น! นโยบายการแก้ไขปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรของรัฐ ไม่ตอบโจทย์ ไม่สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้จริง อีกทั้งเอื้อประโยชน์แก่นายทุน
วันที่ (23 พ.ย.) นายนิยม ช่างพินิจ ส.ส. พิษณุโลก จุลพันธ์ พรรคเพื่อไทย เผยว่า นโยบายประกันราคาสินค้าการเกษตรที่รัฐบาลประกาศเป็นนโยบายหลัก ในการแก้ไขปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตร นโยบายดังกล่าวเป็นนโยบายที่ไม่ตอบโจทย์ และไม่สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้จริง ที่ผ่านมาเคยใช้แล้วไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเกษตรกรไม่สามารถขายพืชผลทางการเกษตรได้ในราคาที่เป็นธรรม วิธีการดี เพราะการที่รัฐไปกำหนดราคาประกันราคาสินค้าเกษตร เพื่อสร้างความมั่นใจให้เกษตรกรว่าหากขายพืชผลต้องได้ตามราคาที่รัฐกำหนด เพราะหากขายพืชผลต่ำกว่าราคาประกัน รัฐจะไปอุดหนุนราคาสินค้าให้เกษตรกร นโยบายดังกล่าวรัฐต้องใช้งบประมาณสูงมาก เพราะยากมากและไม่มีทางเป็นได้ว่าพ่อค้าจะกำหนดราคารับซื้อเท่ากับราคาประกัน ทางแก้รัฐควรปล่อยให้กลไกตลาดเป็นตัวกำหนดราคาสินค่าดีกว่า
นายนิยม กล่าวว่า ข้าว มีการกำหนดการช่วยเหลือที่ไม่เป็นธรรม เพราะข้าวหอมมะลิก่อนที่จะมีการประกาศราคาขาย ตันละ 15,000 -16,000 บาท แต่ภายหลังประกาศราคาประกันที่ตันละ 15,000 บาท ส่งผลให้พ่อค้ากดราคารับซื้อข้าวจากเกษตรกรทันที โดยอ้างข้าวมีความชื้น ส่งผลให้เกษตรกรขายข้าวไม่ได้ราคา โดยพ่อค้าจะให้เกษตรกรไปรับเงินชดเชยจากรัฐแทน
นอกจากนี้ บางพื้นที่มีการกดราคารับซื้อข้าวที่ตันละ 9,000 บาทเท่านั้น จากนโยบายที่ประกาศออกมา ไม่เป็นธรรมในหลายพื้นที่ เพราะข้าวหอมมะลิที่ปลูกมากที่ภาคเหนือและอีสาน ปลูกได้ปีละครั้ง รัฐบาลรับประกันที่ 14 ตัน แต่ข้าวขาวที่ปลูกมากพื้นที่ภาคกลาง ซึ่งเป็นพื้นที่พรรคร่วมรัฐบาลมีการประกันราคาที่ 30 ตัน และปลูกได้ 2 ครั้ง นโยบายที่ประกาศออกมาไม่เป็นธรรมกับเกษตรกรทั่วประเทศ
นายนิยม กล่าวต่ออีกว่า นโยบายประกันราคา เป็นนโยบายที่เปิดโอกาสให้พ่อค้าผู้ส่งออกเป็นผู้กำหนดราคาประกันมากกว่า เพราะผู้ส่งออกจะให้รัฐตั้งราคาประกันต่ำ เพื่อซื้อสินค้าในราคาถูก โดยเฉพาะข้าวก่อนนำข้าวไปส่งออก ในราคาสูงเพื่อทำกำไร นโยบายประกันรายได้เกษตรกรเป็นนโยบายที่ดูดี แต่ผู้ส่งออกชอบได้ต้นทุนรับซื้อที่ต่ำ แล้วส่งไปขายแพง ทำกำไรให้ผู้ประกอบการได้เป็นกอบเป็นกำ ดังนั้น เป็นนโยบายดังกล่าวเป็นนโยบายที่รัฐออกมา เพื่อช่วยผู้ส่งออกมากกว่าช่วยเกษตรกร