วันที่ 4 พฤษภาคม 2563 นาย องอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคและประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความวิตกกังวลเมื่อคลายล็อกแล้ว อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบ 2 รุนแรงกว่าเดิม ว่า เมื่อคลายล็อกอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามลำดับขั้นตอนที่ภาครัฐกำหนดออกมาแล้ว โอกาสที่โควิด-19 อาจจะแพร่ระบาดรุนแรงมากขึ้นรอบ 2 หรือรักษาระดับสถานการณ์ให้คงที่หรืออาจลดลงตามลำดับก็มีความเป็นไปได้ทั้งนั้น
นายองอาจ กล่าวอีกว่า การที่สถานการณ์โควิด-19 จะเดินหน้าไปอย่างไรขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ 3 ประการ ดังนี้
1) การเตรียมความพร้อมของภาครัฐต้องรอบคอบ รอบด้าน มาตรการ ข้อควรปฏิบัติต่าง ๆ ที่ออกมาต้องชัดเจน ปฏิบัติได้ข้อปฏิบัติใดไม่สามารถทำได้ ภาครัฐอาจต้องเข้าไปช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ พยายามปิดช่องว่างช่องโหว่ที่อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดได้ง่าย ภาครัฐต้องเข้าไปสอดส่อง ดูแล กวดขันให้มีการปฏิบัติตามมาตรการต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด เพราะถ้าย่อหย่อนไม่เอาจริงเอาจังกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบ 2 ก็อาจเกิดขึ้นได้ ที่สำคัญที่สุด คือ ต้องมีการสื่อสารให้เกิดความเข้าใจในมาตรการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องทั่วถึง เพื่อนำไปสู่ความร่วมแรงร่วมใจ ทำให้มาตรการต่าง ๆ สัมฤทธิ์ผล
2) กิจการที่จะเปิดดำเนินการหลังคลายล็อก ต้องปฏิบัติตามมาตรการต่าง ๆ อย่างเอาจริงเอาจัง คำนึงถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดกับส่วนรวม เจ้าของกิจการต่าง ๆ ต้องพร้อมเปลี่ยนแปลงวิถีธุรกิจของตนเองให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
3) ประชาชนทุกคนควรปฏิบัติตามกฎ กติกา มารยาท และมาตรการผ่อนปรน 6 ประเภทกิจการและกิจกรรมอย่างจริงจัง ขณะที่มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม การสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือเป็นประจำ ทำงานที่บ้านเพื่อลดความแออัดในที่สาธารณะนอกบ้าน ยังเป็นความจำเป็นที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง
“ตนเชื่อมั่นว่า ถ้าทุกภาคส่วนในสังคมทั้งภาครัฐ เจ้าของกิจการ และประชาชนมีสำนึกร่วมกันปฏิบัติภาระหน้าที่ ตามกฎ กติกามารยาทของการอยู่ร่วมกันในภาวะวิกฤตโควิด-19 อย่างจริงจัง จะช่วยทำให้เรานำพาประเทศไทยให้รอดพ้นภัยโควิด-19 สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ในไม่ช้าอย่างแน่นอน” นายองอาจ กล่าว