เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2563 นาย จิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร และ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่าการอภิปรายงบประมาณ ปี 64 ที่ผ่านมานั้น ถ้าประชาชนสังเกตการณ์ลงมติ เมื่อคืนวันศุกร์ จะเห็นว่าเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในการทำงานของพรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะการอภิปรายเตือนสติ ทักท้วง ไม่ให้นายกรัฐมนตรี นำพาประเทศเข้าสู่กลียุคได้ เพราะการชี้แจงของ ครม. ตลอด 3 วัน ไม่สามารถทำให้ประชาชนเชื่อมั่นได้เลย เป็นการจัดทำงบประมาณแบบไม่ตรงปก เนื้อในมีลักษณะคล้ายกับแผนงบฯ ปี 63 แต่อวดสรรพคุณว่า เป็นยาผีบอก ดีแน่ทั้ง ๆ ที่ปีหน้าปัจจัยลบบานตะเกียง ที่สำคัญสภาพปัญหาขณะนี้และปีหน้าไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง ทำงบฯ ปี 64 แบบนี้มีโอกาสสูงที่จะนำพาประเทศไปสู่กลียุค ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และจะส่งผลต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน และความเป็นความตายของประเทศ
“ตนขอขอบคุณแทน ส.ส.ฝ่ายค้านทุกคน ที่หลังจากอภิปรายมีการสำรวจความคิดเห็นหลายสำนัก และในโซเซียล ต่างให้คะแนนพรรคร่วมฝ่ายค้านในการทำหน้าที่อภิปราย เพื่อตักเตือนรัฐบาลที่ลุอำนาจ โดยให้ข้อมูลและยับยั้งอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการจัดทำงบประมาณแบบไม่ดูตาม้าตาเรือถึง A+ และ ให้คะแนนรัฐบาล ติด F ชนิดต้องไล่ออกสถานเดียว
โดยเฉพาะประเด็นทำงบฯ ที่ไม่สอดรับกับปัญหาสถานการณ์โควิดที่ประเทศจะได้รับสึนามิทางเศรษฐกิจอย่างแน่นอน แต่ยังใช้เงินไปในการซื้ออาวุธ และทำถนน อีกทั้งยังจัดสรรงบประมาณ แบบเอื้อพรรคของพวก ในลักษณะประคองรัฐนาวา ในพรรคร่วมรัฐบาล โดยไม่สนใจว่าประเทศชาติจะเป็นอย่างไรหลังสถานการณ์โควิด” นายจิรายุ กล่าว
นายจิรายุ กล่าวอีกว่า การกู้เงินจำนวนมากที่มากกว่านายกรวมกัน 28 คน ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ไม่มีแผนหรือนโยบายที่ชัดเจน ว่าจะหาเงินเข้าประเทศได้อย่างไรและจะใช้หนี้กว่า 100 ปี ได้แบบไหน เห็นมีแต่แจกเงิน และไม่เห็นมีอะไรที่ประชาชนฟังแล้วจะมั่นใจได้ว่าปีหน้าหรือปีต่อ ๆ ไปประเทศไทยจะไม่ล้มละลายเพราะสุดท้ายอาจต้องเกิดภาวะดุลข้าราชการเหมือนในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ประเทศไม่มีเงินเดือนจะจ่าย ต้องให้ข้าราชการออกเป็นจำนวนมาก