“ไพบูลย์ นิติตะวัน” ชี้ทางกฎหมาย กรณี “เสรีพิศุทธ์” เรียก นายกรัฐมนตรี ชี้แจงปมถวายสัตย์ ต่อกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาผู้แทนราษฎร ขัดกับรัฐธรรมนูญ
วันที่ 31 ตุลาคม 2562 นายไพบูลย์ นิติตะวัน สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ให้ความเห็นข้อกฎหมาย กรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธานกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาผู้แทนราษฎร ยืนยันว่า กมธ.ปปช มีอำนาจในการเรียกนายกรัฐมนตรีเข้าชี้แจงเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบ และหากไม่มาชี้แจงครบ 2 ครั้ง ก็จะขอส่งดำเนินคดีข้อหาขัดคำสั่งคณะกรรมาธิการ ซึ่งเป็นการอ้างอำนาจตาม พระราชบัญญัติ คําสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. 2554 มาตรา 8 และมาตรา 13 นั้น
โดย นายไพบูลย์ มองว่า พระราชบัญญัติ คําสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. 2554 มาตรา 8 และ มาตรา 13 ดังกล่าว ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 129 เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ได้ยกเลิกอำนาจของคณะกรรมธิการ ในการออกคำสั่งเรียกและให้คำสั่งเรียกมีผลบังคับตามกฎหมาย ที่เดิมเคยให้อำนาจคณะกรรมาธิการไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 135 ดังนั้นการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 129 วรรค 4 ของคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาผู้แทนราษฎร จึงไม่มีอำนาจที่จะออกคำสั่งเรียกหรือดำเนินคดีข้อหาขัดคำสั่งเรียก กรณีให้นายกรัฐมนตรีมาชี้แจง
นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า แต่เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการบังคับใช้กฏหมาย ตนจะยื่นคำร้องไปยังผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อขอให้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 231(1 )เสนอเรื่อง ต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติ คําสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. 2554 มาตรา 8 และ มาตรา 13 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 129 หรือไม่ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากฏหมายมาตราดังกล่าว ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ กรรมาธิการผู้ใดที่ออกคำสั่งเรียก ก็จะเป็นการกระทำการโดยไม่มีอำนาจ จะถูกฟ้องดำเนินคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ไปยัง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช )