นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความถึงกรณี ส.ส. เสียบบัตรแทนกัน ในการลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 โดยระบุว่า
“เสียบบัตรแทนไม่เสียหาย?
ถ้าถือว่าการเสียบบัตรแทนกันไม่เสียหาย ก็อาจทำให้ การประชุมที่ไม่ครบองค์ประชุมไม่เสียหายได้ด้วย เพราะมีคนเสียบบัตรลงคะแนนแทนกันแล้ว
ก็จะไปกันใหญ่!
ทำให้นึกถึงเมื่อครั้งทำบุญประเทศในสมัยรัฐบาลทักษิณ! ในครั้งนั้น ตอนแรกลุงจิ๋วเป็นประธานกรรมการจัดเตรียมงาน ประชุมผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย กำหนดให้ งานทำบุญประเทศเป็น 2 ระดับ
คือ ระดับหลวง ซึ่งรัฐบาลจะกราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นประธาน จัดทำพิธีในวัดพระแก้ว และระดับพิธีราษฎร์ ซึ่งคุณทักษิณนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน จัดที่สนามหลวง
วางลำดับว่า เมื่อเสร็จงานพิธีหลวงแล้วนายกรัฐมนตรีก็จะมาที่สนามหลวง ลุงจิ๋วแกประชุมกำหนดงานไปก็รายงานไปแถลงข่าวไปโดยลำดับ
ต่อมา ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น คุณทักษิณแกปลดลุงจิ๋วกับป๋าเหนาะ
แล้วตั้งคณะกรรมชุดใหม่ คณะกรรมการใหม่ก็ยุบ 2 ระดับพิธีเหลือพิธีการเดียว คือพิธี ที่จัดในพระอุโบสถวัดพระแก้ว แต่จัดแจงกันให้คุณทักษิณ ไปนั่งเป็นประธานในพิธี
ได้ผลชะงัด!!!!!
ชาวบ้านด่ารัฐบาลกันทั้งบ้านทั้งเมือง จนเป็นปัญหาการเมืองใหญ่โต
มาถึงวันนี้ใครที่เกี่ยวข้องในครั้งนั้นคงนึกได้นะครับว่า เหตุครั้งนั้นเกิดขึ้น ก็เพราะเชื่อว่าไม่เสียหายใช่ไหมครับ
มาหาทางปรองดองกันแล้ว ช่วยกันให้กฎหมายงบประมาณผ่านให้เร็วที่สุดไม่ดีกว่าหรือครับ”
นายไพศาล แสดงความคิดเห็นต่อเนื่องว่า “เชิงมวยเรื่องเสียบบัตรลงคะแนนร่างกฎหมายงบประมาณ ตอนนี้เรื่องเสียบ บัตรแทนจะมีการขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็น 2 เรื่อง
1.ฝ่ายรัฐบาลก็ยื่น ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ให้กฎหมายงบประมาณ ใช้บังคับได้เลยเพราะเกินเวลา105 วัน ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
2.ฝ่ายค้านก็ไหวทันว่าอาจเกิดอภินิหารทางกฎหมาย ที่ทำให้ประเด็นเรื่องการเสียบบัตรบงคะแนนแทนกันไม่เข้าสู่การพิจารณาของศาล จึงเข้าชื่อกันขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การที่มีผู้อื่นเสียบบัตรลงคะแนนแทน สส.เจ้าของบัตร ทำให้การลงมติไม่ชอบและมีผลให้กฎหมายงบประมาณเป็นโมฆะ ตามบรรทัดฐานคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเคยวางบรรทัดฐานไว้ก่อนแล้ว
จึงเป็นเรื่องที่น่าติดตามดูว่า เชิงมวยอภินิหารทางกฎหมาย กับเชิงมวย ที่ยึดบรรทัดฐาน คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ นั้น เชิงไหนจะแน่กว่ากัน และทำให้คนทั้งหลายได้เห็นความเส็งเคร็งและความลำพองของนักการเมืองที่ไม่ซื่อตรงและบังอาจเสียบบัตรลงคะแนนแทนกันโดยไม่เห็นรัฐธรรมนูญอยู่ในสายตาเลย อย่างชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง”