สภามีมติ 374 เสียง เห็นด้วยพ.ร.ก.โอนย้ายหน่วยทหาร “ปิยบุตร” หวั่นใช้อำนาจกลายเป็น ม.44 จำแลง
เมื่อวันที่ 17 ต.ค. ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการพิจารณาพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ. 2562 โดยมีพล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม เป็นผู้เสนอและชี้แจงหลักการและเหตุผล ตอนหนึ่งว่า เหตุผลในการประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉบับนี้คือ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์เป็นส่วนราชการในพระองค์ขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ มีหน้าที่วางแผน อำนวยการ ประสานงาน บังคับบัญชา ควบคุม กำกับดูแลและปฏิบัติงานในการถวายอารักขา และถวายพระเกียรติองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท พระบรมวงศานุวงศ์ และบุคคลอื่นตามที่พระมหากษัตริย์ทรงมอบหมาย
พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า รวมทั้งการปฏิบัติหน้าที่ทางพระราชพิธีตามที่ได้รับมอบหมาย และการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในเขตพระราชฐาน ตลอดจนปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระบรมวงศานุวงศ์ ผู้แทนพระองค์และพระราชอาคันตุกะ ซึ่งในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการถวายอารักขาและถวายพระเกียรติและการรักษาความปลอดภัยดังกล่าว จำเป็นต้องมีความพร้อมในทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดอัตรากำลังพลที่เหมาะสมแก่การปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรียบร้อย รวดเร็ว และเกิดความปลอดภัยสูงสุด รวมทั้งให้การปฏิบัติภารกิจทั้งปวงตามพระราชอัธยาศัยและตามพระราชประเพณีเป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์และเกิดความปลอดภัยสูงสุด จึงเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ จึงจำเป็นต้องตรา พ.ร.ก. นี้
ด้านนายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ กล่าวอภิปรายว่า การตราพ.ร.ก.เป็นข้อยกเว้นที่รัฐธรรมนูญยอมให้ฝ่ายบริหารออกกฎหมาย หรือออกไปก่อนใช้ไปก่อน เพื่อไม่ให้ออกกฎหมายไปใช้พร่ำเพื่อ และใช้อำนาจเกินขอบเขต ซึ่งในมาตรา 172 วรรค 2 กำหนดว่า การตราพ.ร.ก.ให้กระทำได้หากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีการจำเป็นเร่งด่วนมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ทั้งนี้ สิ่งที่ตนอภิปรายคือความสัมพันธ์ระหว่างสภาฯกับครม. ตามระบบรัฐสภา และรัฐธรรมนูญ นี่คือการตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกัน ซึ่งพ.ร.ก. ลงนามโดยนายกรัฐมนตรี จึงต้องตรวจสอบการใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรี
“การใช้อำนาจของครม. ต้องระมัดระวังรอบคอบกว่าเดิม ตนเห็นว่ามาตรา 172 เป็นข้อยกเว้นให้อำนาจ จึงต้องทำตามข้อจำกัดอย่างเคร่งครัด แต่พล.อ.ประยุทธ์จะคิดว่าเป็นการใช้ มาตรา 44 ไม่ได้ ถ้าเราไม่ปล่อยผ่านเราจะช่วยให้พล.อ.ประยุทธ์ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้อำนาจ แต่หากปล่อยเรื่องนี้ไปจะกลายเป็นการสร้างบรรทัดฐานผิดๆ นายกฯอยากได้กฎหมายอะไร ขี้เกียจรอสภาฯ ก็ใช้อำนาจตรา พ.ร.ก นานวันเข้า จะกลายเป็น ม.44 จำแลง” นายปิยบุตร กล่าว
ทั้งนี้ หลังการอภิปรายของสมาชิก ที่ประชุมมีการลงมติ เห็นด้วย 376 เสียง ไม่เห็นด้วย 70 เสียง และงดออกเสียง 2 เสียง ดังนั้นสรุปที่ประชุมสภามีมติเห็นด้วยกับพ.ร.ก.ฉบับดังกล่าว
