นาย พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน เปิดเผยว่า สภาวะเศรษฐกิจของไทยเสื่อมถอยลงอย่างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้ของรัฐบาลในปัจจุบันและอนาคต แต่แทนที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว. กลาโหม และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ จะบริหารเพื่อสร้างความมั่นใจ กลับทำลายความมั่นใจให้หมดไป แม้กระทั่งงานประจำง่ายๆอย่าง การจ่ายเบี้ยคนชรา และ เบี้ยคนพิการ ยังไม่สามารถจ่ายให้ตรงเวลาได้ ทำให้ตอกย้ำกระแสของรัฐบาลถังแตก โดยรัฐบาลแก้ตัวว่าสาเหตุของการจ่ายเงินล่าช้าเพราะคนแก่และคนพิการเพิ่มเยอะ ทำให้จ่ายไม่ทัน ซึ่งเมื่อฟังแล้วไม่น่าจะใช่เหตุผลที่แท้จริง
เพราะพลเอกประยุทธ์ บริหารประเทศมากว่า 6 ปีแล้ว คนชรา และ คนพิการ ก็ต้องเพิ่มขึ้นทุกปี จะมาอ้างแบบนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ น่าจะมาจากการบริหารงานที่ด้อยประสิทธิภาพ และรายได้รัฐอาจจะขาดจริงทำให้จ่ายเงินไม่ทัน หรืออาจเพราะขาด รมว. คลังที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหาร จึงทำให้เงินคงคลังไม่พอจ่าย
ทั้งที่กระทรวงการคลังสามารถจัดหาเงินมาจ่ายก่อนได้อยู่แล้วแต่กลับไม่ทำ และพลเอกประยุทธ์เองก็น่าจะต้องได้สำนึกแล้วว่าทำไมถึงไม่มีคนที่มีชื่อเสียงยอมมาเป็น รมว. คลัง ให้กับรัฐบาลนี้ ทั้งๆที่ปกติแล้วตำแหน่งนี้มีแต่คนแย่งกันเป็น
อีกทั้ง งบประมาณปี 2564 จะเสร็จไม่ทันปีงบประมาณ และต้องใช้งบปี 2563 ไปก่อน ซึ่งจะไม่สามารถใช้งบเพื่อการลงทุนได้ ใช้ได้แต่เฉพาะงบประจำ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยที่ต้องการการอัดฉีดเงินลงทุนอย่างเร่งด่วนเพื่อฟื้นเศรษฐกิจต้องล่าช้าไปอีก และจะทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่ลงกว่าเดิม ยิ่งตอกย้ำความไม่มีประสิทธิภาพให้ชัดเจนขึ้น
ทั้งที่รัฐบาลน่าจะเรียนรู้จากประสบการณ์ตั้งแต่ปีที่แล้วที่งบประมาณล่าช้าเพราะติดการเลือกตั้งและการตั้งรัฐบาลที่ต้องใช้ตัวช่วยมาก ทำให้เสียเวลามาก ปีนี้รัฐบาลมีเวลาเตรียมงานมานานซึ่งไม่น่าจะพลาดอีก แต่ก็พลาดจนได้
หรืออาจจะเป็นเพราะต้องการบีบให้สภาเร่งอนุมัติงบประมาณเพื่อให้มองข้ามค่าใช้จ่ายบางประเภทที่ไม่อยากให้สภาตรวจสอบละเอียด เช่นในปีที่แล้วมีการค่าทนายในคดีปิดเหมืองทองคำจำนวน 218 ล้านบาท ที่เพิ่งตรวจเจอในปีนี้ เพราะต้องจ่ายเพิ่มอีก 111 ล้านบาท เป็นต้น
นอกจากนี้ การช่วยเหลือและสนับสนุน ธุรกิจ SMEs และ เงินกู้เพื่อฟื้นเศรษฐกิจ การดำเนินการเป็นไปอย่างล่าช้า แถมยังมีการเบิกจ่ายไม่ตรงจุด ทำให้แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก และทำให้คนว่างงานเพิ่มขึ้นสูง
แต่รัฐบาลกลับแก้ตัวว่าที่นายกสมาคมโรงแรมอ้างว่ามีคนว่างงาน 1 ล้านคนเป็นตัวเลขเก่าจากเดือนเมษายน ตอนนี้น่าจะลดลง ซึ่งสวนกับความเป็นจริงอย่างมาก เพราะสภาวะปัจจุบันยิ่งย่ำแย่กว่าเดือนเมษายนมาก และน่าจะมีคนตกงานเพิ่มขึ้นอีกเป็นล้านๆคน ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด
ในเรื่องการว่างงาน ยังกล้าออกมาโทษการชุมนุมของนักศึกษาและประชาชนว่าเป็นสาเหตุ ยิ่งทำให้รัฐบาลหมดความน่าเชื่อถือ ทั้งที่ความจริงสภาวะการว่างงานเกิดขึ้นก่อนจะมีการระบาดไวรัสโควิดแล้ว โดยคาดกันว่าจะมีการว่างงานกว่า 5 แสนคน
แต่พอมีการระบาดของไวรัสและการจัดการที่ผิดพลาดของรัฐบาลยิ่งทำให้การว่างงานเพิ่มสูงขึ้นมาก และอาจสูงขึ้นไปถึง 8 ล้านคน แต่กลับโทษไปที่การชุมนุม ซึ่งทำให้นักศึกษาและประชาชนไม่พอใจและน่าจะออกมาชุมนุมกันมากขึ้นในวันที่ 19 กันยายนนี้
นอกจากนี้พลเอกประยุทธ์ ยังโทษว่าการชุมนุมของประชาชนเป็นหมื่นเป็นแสนคน จะทำให้วุ่นวายและ คน 60 ล้านคนจะเดือดร้อนโดย พลเอกประยุทธ์ ควรจะต้องคิดเองได้แล้วว่า ถ้า พลเอกประยุทธ์ลาออกคนเดียว คน 60 ล้าน ก็จะไม่เดือดร้อนเช่นกัน เพราะยิ่งอยู่นานประเทศยิ่งเสื่อมถอย
หากเป็นแบบนี้ต่อไป ประเทศไทยก็จะหมดอนาคต จึงจำเป็นที่นักศึกษาและประชาชนจะต้องออกมาขับไล่กันให้มากๆ เพื่อทวงอนาคตของตัวเองและของประเทศให้กลับคืนมา ผมขอสนับสนุนและชื่นชมนักศึกษาทุกคนที่ออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความถูกต้องของประเทศนี้