นาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ไลฟ์สดการอภิปรายนอกสภาครั้งแรก ต่อสถานการณ์การเเพร่ระบาดโควิด-19 โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่สภาผู้แทนราษฎร ไม่สามารถดำเนินการจัดการประชุมสภาได้ตามปกติ ทำให้พวกเราไม่สามารถพูดแทนพี่น้องประชาชนหรือไม่สามารถพิจารณากฎหมายสำคัญได้ ในฐานะที่เป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล ไม่ได้นิ่งนอนใจและคำนึงถึงปากท้องเเละภาษีของพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ
4 พื้นที่สีเทาที่ต้องสะสาง ภายใต้สถานการณ์การเเพร่ระบาดของโควิดที่เกิดขึ้น รัฐบาลภายใต้การบริหารของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมไปศูนย์บริหารสถานการเเพร่ระบาดโควิด (ศบค.) ได้บริหารสถานการณ์อย่างล้มเหลว ผิดทิศผิดทาง เเละโยนความรับผิดชอบให้กับประชาชน ข้าราชการชั้นผู้น้อย โดยมีปัญหาที่ยังไม่ได้รับการสะสางให้ชัดเจน 4 ประเด็นหลักคือ
ประเด็นเเรก ธุรกิจสีเทา เรื่องแรก คือ บ่อนการพนันซึ่งเป็นหนึ่งในต้นตอในการแพร่ระบาดของไวรัสระลอกนี้ ถึงตอนนี้ยังไม่สามารถเอาผิดกับต้นตอและหาสาเหตุของการหละหลวมได้ อีกเรื่องหนึ่งคือ การจัดการต้นตอของปัญหาเเรงงานต่างชาติอย่างเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การเข้าถึงระบบสาธารณสุขและเพื่อปฏิรูปฐานเเรงงานในอนาคตหลังโควิดเบาบางลงได้
ประเด็นที่สอง การจัดหาวัคซีน ซึ่งยังไม่ครบตาม 60-80% ตามที่ WHO แนะนำ และยังเป็นอีกหนึ่งเรื่องเทาๆที่ยังคลุมเครือ ซึ่งหากบริหารวัคซีนไม่ดีพอก็จะส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจเเละคุณภาพชีวิตประชาชนของประเทศ การจัดหาวัคซีนจะเป็นหรือจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะหยุดวิกฤติโควิดครั้งนี้ได้
ประเด็นที่สาม การควบคุมการระบาดระลอก 2 ซึ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อมีอัตราสูงกว่าครั้งเเรกถึง 3 เท่า แต่จากวิธีการที่นำมาใช้ทำให้รู้ว่ารัฐบาลยังไม่ได้เรียนรู้จากประสบการณที่ผ่านมา ทั้งเรื่องการสื่อสารและการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งที่ต้องสื่อสารกับประชาชนคือ ให้ตระหนักถึงความสำคัญเเต่ไม่ตระหนก ซึ่งหากเรายังควบคุมการระบาดไม่ได้ เศรษฐกิจของประเทศจะได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างมหาศาล
ประเด็นสุดท้าย คือ การบริหารงบประมาณ ในระยะสั้นคือนำ พ.ร.ก.เงินกู้ที่ยังเหลือในครั้งเเรกมาใช้ในการเยียวยา ระยะกลางคือการเกลี่ยก่อนกู้ เพื่อเป็นกระจายงบประมาณที่ได้นำมาจัดสรรใช้ในทุกส่วนอย่างเท่าเทียม ระยะยาวก็คือการจัดทำงบประมาณก้อนใหม่ โดยในเดือนมกราคม เป็นเดือนเริ่มจัดทำงบประมาณปี 2565 ซึ่งเมื่อวานนี้กรอบของงบประมาณปี 65 ออกมาเเล้วว่าอยู่ที่ 3.1 ล้านล้านบาท สิ่งที่ต้องทำคือจะต้องมีการจัดสรรงบประมาณที่ตอบโจทย์ของประชาชน โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ เเละจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมกับประเทศที่กำลังตกอยู่ในสภาวะวิกฤติไม่ใช่การบริหารเเละจัดสรรงบประมาณแบบเดิม ที่เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นายพิธา ระบุด้วยว่า สำหรับ 5 ข้อเสนอ กู้วิกฤตโควิด 19 เรามีเวลาอยู่กับโควิดมา 1 ปี เราต้องบริหารงบประมาณให้กับเหมือนประเทศที่อยู่ในภาวะวิกฤติ ถ้าเราสามารถบริหารประเทศภายใต้งบประมาณที่ทำให้เกิดประสิทธิภาพให้ดีกว่านี้ บริหารการจัดการจัดซื้อวัคซีนให้ดีกว่านี้ เเละเตรียมพร้อมการเเจกจ่ายวัคซีนให้ประชาชนอย่างเท่าเทียมทั่วถึง ถ้าคุณสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนให้ดีกว่านี้ ผมเชื่อว่าเราจะสามารถก้าวข้ามวิกฤตินี้ไปด้วยกันได้สำเร็จ
ทั้งนี้ เรามีเวลาอยู่กับโควิดมา 1 ปี เราต้องบริหารงบประมาณให้กับเหมือนประเทศที่อยู่ในภาวะวิกฤติ ถ้าเราสามารถบริหารประเทศภายใต้งบประมาณที่ทำให้เกิดประสิทธิภาพให้ดีกว่านี้ บริหารการจัดการจัดซื้อวัคซีนให้ดีกว่านี้ และเตรียมพร้อมการเเจกจ่ายวัคซีนให้ประชาชนอย่างเท่าเทียมทั่วถึง ถ้าคุณสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนให้ดีกว่านี้ ผมเชื่อว่าเราจะสามารถก้าวข้ามวิกฤตินี้ไปด้วยกันได้สำเร็จ
พรรคก้าวไกลมีข้อเสนอ 5 ประเด็นหลักเพื่อแนวทางในการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดที่เกิดขึ้น คือ
1.เร่งแก้ไขพระราชกำหนดซอฟต์โลน 5 แสนล้าน เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงได้จริง ในเรื่องนี้พรรคก้าวไกลได้พยายามผลักดันในคณะกรรมาธิการแก้ไขงบประมาณโควิดมาตลอด เพราะที่ผ่านมามีการเบิกจ่ายไปเพียง 20% เท่านั้น เนื่องจากติดเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรม เข้าถึงยาก เรื่องนี้จำเป็นต้องแก้ไขเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถฟื้นตัวได้เองหลังจากภาวะวิกฤติ
2.การโยกงบประมาณฟื้นฟู 460,000 ล้านบาท ที่ยังเหลือจาก พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท มาใช้เยียวยาประชาชนได้
3.เร่งจัดหาวัคซีน ใช้งบ พ.ร.ก.เงินกู้ด้านสาธารณสุขที่เหลืออยู่ และงบกลางปี 63 เพื่อจัดหาวัคซีนให้คนไทย 35-40 ล้านคน เป็นอย่างน้อย
4.การเกลี่ยก่อนกู้ด้วยการออกพระราชบัญญัติโอนงบประมาณ พ.ศ.2564 อย่างที่เคยเสนอมาเเล้วใน พ.ศ.2563 เนื่องจากงบในส่วนที่ไม่ผูกพันยังมีอยู่อีกประมาณกว่า 6 เเสนล้านบาท ส่วนจะสามารถโอนได้แค่ไหนขึ้นอยู่กับการจัดลำดับความสำคัญ โดยพรรคก้าวไกลมีเป้าหมายในการโอนได้ตั้งแต่ 61,300-306,500 ล้านบาท
5.การจัดทำงบประมาณปี 2565 ต้องทำให้เป็นงบประมาณที่รองรับกับปัญหาประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ เเละเหมาะสมกับประเทศที่ตกอยู่ในภาวะวิกฤติ ไม่ใช่การจัดงบประมาณเหมือนเดิมเหมือนกับประเทศที่ไม่มีวิกฤติ ซึ่งคราวนี้คงไม่มีข้ออ้างอีกแล้วว่าไม่สามารถทำได้ทันด้วยระเบียบราชการ เพราะขณะนี้ยังมีเวลาพอที่จะสามารถจัดงบประมาณให้เหมาะสมได้