วันที่ 22 ธ.ค. 63 นาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้กล่าวถึง สถานการณ์โควิด-19 ระลอกสอง โดยระบุว่า สถานการณ์ โควิด-19 ระลอกสองได้ทำให้หลายคนกลับเข้าสู่ความวิตกอีกครั้ง ผมเข้าใจดีถึงสิ่งที่หลายคนคงกำลังกังวลว่าสถานการณ์ต่างๆ จะย้อนกลับไปเหมือนต้นปีที่ผ่านมา ไม่ว่าการต้องอยู่ภายใต้พื้นที่จำกัด เกิดการกักตุนและขึ้นราคาหน้ากากอนามัยที่หวนกลับมาอีกครั้ง กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก กระทบกับรายได้ปากท้องประชาชน บ้านเมืองที่ดูอ้างว้างเงียบเหงาแทนการฉลองเทศกาลปีใหม่กับครอบครัว ซึ่งนั่นดูจะเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่สำหรับปีหน้า
อย่างไรก็ตาม ผมอยากขอส่งกำลังใจไปถึงทุกคนด้วยความเชื่อมั่นว่า สถานการณ์ระลอกนี้ก็จะผ่านพ้นไปได้ หากเราเผชิญหน้ากับมันอย่างเข้มแข็ง ด้วยสติ และด้วยการถอดบทเรียนจากการอยู่ร่วมกับโควิดตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ผมคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการสื่อสารที่ผิดพลาด สับสน และไม่ชัดเจนของรัฐบาล จนนำไปสู่ความกลัว แน่นอนว่า โควิด-19 ไม่ใช่เชื้อกระจอกหรือไวรัสธรรมดาดังที่รัฐมนตรีพูด แต่ไม่ได้หมายความว่าการกลับมาเจอตัวเลขผู้ติดเชื้อจะหมายถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายเสมอไป
ขยายแล้ว! ครม. เคาะเพิ่มเวลา ต่างด้าว อยู่ไทย ไม่เกิน 30 วัน เป็น 45 วัน
นายกฯ แถลงคืบหน้า โควิด19 ชี้ปัญหาเกิดจากคนไม่กี่คน พร้อมวอนคนไทยใช้ชีวิตด้วยความรับผิดชอบ
ดูแลการติดเชื้อควบคู่กับการประคับประคองเศรษฐกิจ
ผมคิดว่าเพื่อให้ประเทศเดินหน้าไปได้ควบคู่กับการควบคุมสถานการณ์ เราไม่ต้องวางเป้าหมายมีผู้ติดเชื้อเป็น 0 ไปตลอด แต่ต้องมีเป้าหมายที่สามารถการรุกตรวจได้เร็วขึ้น พบผู้ติดเชื้อได้มากขึ้น และเราจะจัดการกับมันได้ดีขึ้นกว่าเดิม ผมยังเชื่อมั่นในความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขของเราว่าสามารถทำให้การรุกตรวจและคัดกรองอย่างรวดเร็วเป็นไปได้ เรามี อสม.ช่วยคัดกรอง และมีบุคลากรทางสาธารณสุขที่มีความสามารถ มีศักยภาพมาก ผมจึงอยากให้สบายใจมากขึ้นว่า แม้เราจะพบผู้ติดเชื้อ แม้ตัวเลขไม่เป็น 0 แต่เราจะยังสามารถรับมือได้ไปพร้อมๆ กับการดูแลความสมดุลของภาคเศรษฐกิจ
โดยจากข้อมูลเมื่อต้นปี เรามีแพทย์และพยาบาลรวมกันเกือบ 190,000 คน จำนวนเตียงรองรับทั้งประเทศ 7,000 กว่าเตียง และในตอนนั้นเรายังไม่มีเงินกู้จาก พ.ร.ก. เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ในส่วนแผนงานด้านสาธารณสุขที่ยังไม่ได้เบิกจ่ายแม้แต่บาทเดียวในตอนนั้น ทั้งหมดนี้ทำให้ผมเชื่อว่าเรายังมีศักยภาพเพียงพอที่จะรับมือสถานการณ์ได้ แต่อาจต้องให้ความช่วยเหลือเป็นพิเศษในบางพื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก เช่นในจังหวัดสมุทรสาคร
ไม่มีแหกรั้ว! ผู้ว่า สมุทรสาคร ยืนยันไม่มีแรงงานต่างชาติหลบหนี สั่งจนท.คุมเข้มขึ้น
พิษเศรษฐกิจที่ได้ทำร้ายหลายล้านคนตั้งแต่เมื่อต้นปี หลายครอบครัวยังไม่สามารถกลับมาฟื้นคืนสู่สภาพเดิมได้ ดังนั้นรัฐบาลต้องระวังอย่างยิ่ง และต้องตระหนักว่าพิษเศรษฐกิจที่เกิดจากการล็อคดาวน์ ถ้าหนักหนาและเข้มงวดเกินไป จะเป็นภัยร้ายแรงกว่าโควิด19 เสียอีก
แรงงานข้ามชาติ
อย่าลืมว่า ตลอดปีที่ผ่านมารัฐบาลมุ่งมั่นกับการควบคุมเชื้ออย่างเข้มงวดโดยไม่สนใจว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ส่งผลให้หลายธุรกิจทยอยล้มหายตายจาก กลุ่มแรกๆ คือบรรดาธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม นักดนตรี บาร์ ขณะที่ภาคเศรษฐกิจบางส่วน ยังคงต้องการแรงงานข้ามชาติเพื่อเข้ามาพยุงธุรกิจหลังการล็อคดาวน์ แต่เงื่อนไขหรือความช่วยเหลือของรัฐที่ไม่เอื้อนัก
ผมอยากให้เรายอมรับความจริงไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ว่าในปัจจุบัน แรงงานข้ามชาติคือส่วนสำคัญของระบบเศรษฐกิจที่เราขาดไม่ได้แล้วสำหรับสังคมไทยที่แก่ตัวลงไปทุกวัน ในขณะที่นโยบายรัฐบาลก็ไม่มีการปรับตัวอะไร ทำให้การนำเข้าแรงงานข้ามชาติอย่างถูกต้องและควบคุมได้มีต้นทุนที่สูงไม่สอดคล้องกับสถาพเศรษฐกิจ ผลักให้คนต้องไปนำเข้าแรงงานข้ามชาติด้วยวิธีที่ผิดกฎหมาย นี่ยังไม่นับรวมขบวนการหาประโยชน์ของเจ้าหน้าที่รัฐ
ผมคิดว่าจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสครั้งนี้ เราควรใช้เป็นโอกาสในการปฏิรูปการจัดการแรงงานข้ามชาติใหม่โดยภาครัฐต้องมีนโยบายที่เหมาะสมสอดคล้องกับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ โดยมีนโยบายที่เอื้อต่อการเข้ามาอย่างถูกต้อง ตรวจเชื้อ กักตัวและติดตามตัวได้ด้วยต้นทุนที่เหมาะสมกับนายจ้าง ให้กลุ่มแรงงานข้ามชาติที่ผิดกฎหมายเข้ามาอยู่ในระบบและเสียภาษีอย่างถูกต้อง
และเรื่องสำคัญที่รัฐบาลไทยไม่ควรละเลยคือ “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” ของกลุ่มแรงงานข้ามชาติหลายล้านคนโดยเฉพาะในจังหวัดสมุทรสาคร ที่มีปัญหาเรื่องคุณภาพการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐานมายาวนาน พวกเขาต้องอยู่ในที่อยู่อาศัยที่แออัดและเข้าไม่ถึงระบบสุขภาพ ซึ่งนี่เป็นสาเหตุสำคัญของการระบาดของไวรัสในครั้งนี้
ซึ่งเรื่องนี้ความจริงแล้ว แม้แต่บุคลากรทางการแพทย์ที่นั่งใน ศบค.เองก็เคยเตือนไว้ รวมถึงพรรคก้าวไกลก็เคยแสดงความกังวลเรื่องนี้มาตลอด เพราะข้อมูลจากการลงพื้นที่ทำให้พวกเรารู้ว่า การติดเชื้อเพียงเคสเดียวในสถานที่แบบนี้ก็สามารถลุกลามได้กว้าง ดังที่มีบทเรียนให้เห็นจากเวียดนามและสิงคโปร์ ซึ่งเราเตือนเรื่องนี้พร้อมข้อเสนอมาแล้วไม่น้อยกว่า 8 เดือน แต่ปรากฏว่าการขยับเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพเสี่ยงนี้จากภาครัฐกลับยังไม่มีการขยับมากเท่าที่ควร
ล็อคดาวน์
เรื่องสุดท้ายที่หลายคนเป็นกังวลกันคือมาตรการล็อคดาวน์ ว่าจะเกิดการล็อคดาวน์ขึ้นทั่วประเทศหรือไม่ ซึ่งผมคิดว่ารัฐบาลควรให้ความชัดเจนโดยเร็ว โดยมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนว่าการล็อคดาวน์นั้นจะเกิดขึ้นในสถานการณ์ไหน ผมคิดว่าการล็อคดาวน์ทำได้ในลักษณะจำกัดวงหรือเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และควรมาพร้อมกับการเยียวยาที่ชัดเจน จะต้องไม่มีคำถามว่าทำไมไม่ได้ห้าพันอีก เพราะการล็อคดาวน์ทำร้ายเศรษฐกิจปากท้องมากมายเหลือเกิน และกิจกรรมช่วงปีใหม่ควรจะสามารถทำได้หากมีการประเมินถึงความเสี่ยงน้อย มีมาตรการคัดกรองและ social distancing ที่ชัดเจน
ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าเราในฐานะประชาชนจะนิ่งนอนใจ อย่าลืมการป้องกันตัวเองด้วยการสวมใส่หน้ากากอนามัยและการรักษาระยะห่างอย่างเข้มงวด ล้างมือด้วยสบู่และหมั่นใช้เจลแอลกอฮอล์ เมื่อพบอาการเสี่ยงติดเชื้อต้องรีบไปพบแพทย์และไม่ปิดบังข้อมูล ทั้งหมดนี้เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านและบุคคลที่ท่านรัก เราจะผ่านเรื่องนี้กันไปได้ครับ