ปฏิรูปตำรวจ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เผยถึงกรณีที่ ครม.เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้ยังคงมีกองบัญชาการทุกอย่างเหมือนเดิม เพียงแต่เพิ่มความสำคัญของสถานีตำรวจมากขึ้น จากเดิมที่ไม่เคยระบุใน พ.ร.บ.เลย แต่ครั้งนี้จะมีการกำหนดบทบาทหน้าที่ งบประมาณ รวมถึงบุคคลากรอย่างเพียงพอ เพราะเป็นหน่วยที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด ซึ่งก่อนหน้านี้มีการเสนอให้แยกการสอบสวนออกจากกรมตำรวจ
โดยให้แยกเป็นอีกกรมต่างหาก แต่เมื่อศึกษาแล้วกลับพบว่า การแยกดังกล่าวไม่มีประโยชน์ เพราะตำรวจต้องสอบสวนเองอยู่ดี แต่จะทำในลักษณะเข้าไปอยู่ในสถานีตำรวจ ซึ่งการบังคับบัญชาเป็นคนละส่วนกัน
โดยมีการแบ่งเป็น 5 แท่ง ใครโตที่แท่งไหน ก็สุดที่แท่งนั้น เป็นการขัดขวางการเจริญก้าวหน้า โดยสามารถโอนย้ายผ่านแท่งได้ในเงื่อนไขที่กำหนดแต่ไม่ง่ายนักและไม่ได้ห้ามขาด โดยยึดหลักอาวุโส ซึ่งการปฏิรูปในครั้งนี้จะถือว่าเป็นการปฏิรูปสถานีตำรวจเป็นครั้งแรก รวมไปถึงมีการจัดตั้งคณะกรรมการ กพค. หรือคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรมตำรวจ ซึ่งมีหน้าที่พิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายเจ้าหน้าที่ แต่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยต่างจากเดิมที่เมื่อตำรวจไม่ได้รับความเป็นธรรม จะต้องฟ้องศาลปกครองเพียงอย่างเดียว
ซึ่งยังกำหนดให้มีคณะกรรมการระดับชาติหรือ กร.ตร. ที่จะรับเรื่องจากประชาชน เมื่อได้รับความไม่เป็นธรรม เช่น การล้มคดีหรือเลือกปฏิบัติ โดยคณะกรรมการชุดนี้นายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้สรรหามาจากประธานศาล มีจเรตำรวจเป็นฝ่ายเลขาฯ โดยมีฝ่ายการเมืองเป็นนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว ส่วนการปฏิรูปการโยกย้ายมีการกำหนดกฎเกณฑ์อยู่ใน พ.ร.บ. ชัดเจน ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และการปฏิรูปการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยเรื่องใหญ่ขณะนี้อยู่ที่ พ.ร.บ.สอบสวน ที่มีเพียง 20 มาตรา จึงชะลอการพิจารณาไว้ก่อน เนื่องจากอัยการศาลยังมีความเห็นแย้งอยู่ จึงจำเป็นต้องปฏิรูปโครงสร้างให้เป็นที่ยุติก่อน ส่วนจะใช้พ.ร.บ.สวบสวนกับดีเอสไอหรือไม่นั้น ต้องรอความเห็นจากดีเอสไอก่อน
นอกจากนี้ การปฏิรูปยังเสนอให้มีการโอนกลับหน่วย เช่น ตำรวจรถไฟ ตำรวจสิ่งแวดล้อม ตำรวจจราจร โดยตำรวจจราจร เสนอให้โอนไปยังเทศบาล อบต. ภายใน 5 ปี ตำรวจป่าไม้โอนภายใน 1 ปี รวมถึงสนับสนุนให้มีตำรวจไม่มียศมากขึ้น โดยเสนอเป็นค่าตอบแทนที่ไม่ใช่ยศ ซึ่งเมื่อเสนอเข้าสภาแล้วทั้งสองสภาสามารถรื้อได้ตามใจชอบ