นาย ประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2563 ที่รัฐสภา อภิปราย ร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ.2563 โดยระบุว่า สิ่งที่ตนเสนอไม่ใช่แค่การตัดงบประมาณบางส่วนออกมา แต่ขอให้โอนให้หมดสำหรับงบประมาณ ของ กรมโยธาธิการ กระทรวงมหาดไทย และ กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม จากโครงการสร้างเขื่อนสร้างกำแพง
โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง หาดม่วงงาม อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ซึ่งมีการตั้งงบประมาณเอาไว้ แต่มีการโอนออกมาเพียง 20 – 25 ล้านบาท อยากให้โอนออกมาให้หมด เพราะโครงการดังกล่าวนี้ก่อกรรมทำเข็ญให้ประชาชน ทำลายวิถีชีวิตชาวบ้าน และขอให้ปีต่อไปแม้แต่บาทหรือสลึงเดียวก็ไม่ต้องตั้งเข้ามาอีก ควรเอาเงินไปแก้ไขปัญหาโควิด 19 จะดีกว่า
โดยกล่าวต่อไปว่า ทั้งกรมโยธาธิการและกรมเจ้าท่ายังไม่มีอำนาจหน้าที่ในกรณีนี้ด้วย เนื่องจากปัจจุบันมีพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 ซึ่งมีคำนิยามเรื่องชายฝั่ง อ่าว ชายหาด ชุมชนชายฝั่ง หรือพูดได้ว่าเป็นกฎหมายเฉพาะ แปลว่าหน่วยงานอื่นต้องหยุดการทำโครงการเหล่านี้ ซึ่งเรื่องนี้ สตง.ก็เคยท้วง สำนักงบประมาณก็ให้ข้อสังเกตไว้เช่นกัน
“หน่วยงานเจ้าภาพจะต้องเป็นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเท่านั้น สองหน่วยงานนี้ไปหาคำนิยามเรื่องชายฝั่งชายทะเลมาหน่อย ที่ผ่านมา ได้ทักท้วงเรื่องนี้ไปในการตั้งงบประมาณปี 63 แล้ว แต่ยังถูลู่ถูกังผ่านสภามาจนได้ จนวันนี้ชาวบ้านที่อยู่ตรงนั้นออกมาประท้วง เพราะเขามีอาชีพ มีกินมีใช้จากชายฝั่งทะเล คิดโครงการกันในห้องแอร์แต่ประชาชนเขาต้องการทวงคืนหาดม่วงงาม เรื่องนี้นักวิชาการทั้งจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิยาลัยเกษตรศาสตร์ หรือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็คัดค้านเช่นกัน”
สำหรับเหตุผลที่ไม่ควรสร้างกำแพงกันคลื่นต่อไป ประเสริฐพงษ์ ระบุว่ามี 3 ประการ หนึ่ง ชายหาดม่วงงาม เป็นชายหาดที่มีความสวยงามสมบูรณ์ มีระบบนิเวศที่มีการเปลี่ยนแปลงตามลมมรสุม เวลามีลมตะวันออกและฝนตกก็จะพัดพาทรายหายไปบ้าง แต่เมื่อพ้นมรสมจะเป็นคลื่นเติ่ง เอาทรายกลับมาที่หาดดังเดิม แบบนี้เป็นธรรมชาติไม่เรียกการกัดเซาะอย่างรุนแรง
สองเป็นผลในทางกลับกัน คือหากสร้างกำแพงกันคลื่นจะเป็นเหตุให้เกิดการกัดเซาะอย่างรุนแรงท้ายน้ำเพราะเวลาคลื่นกระทบเข้ามาจะหอบทรายไปสู่ท้องทะเล จะทำให้กำแพงทรุดตัวลง มีกระทบต่อการใช้พื้นที่ชายหาด คือยิ่งสร้างยิ่งพัง คนก็ใช้ชายหาดไม่ได้
สาม การดำเนินการโครงการไม่มีการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือ EIA ทั้งที่เรื่องนี้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแน่นอน เพราะไปลงโครงสร้างแข็ง ตอกเสาเข็ม แต่ไม่รู้ด้วยอำนาจมืดอย่างไรที่สำนักนโยบายและแผนจึงสามารถถอดการทำ EIA ออกไปได้ การประเมินปผลกระทบสิ่งแวดล้อมเป็นหลักสำคัญนั่นคือการพึงระวังไว้ก่อน คนจะได้มีส่วนร่วม รัฐมนตรีจะได้มาฟังได้รู้ได้เห็นผลกระทบ ได้เห็นความคุ้มค่าของโครงการที่จะเกิดขึ้น
“เวลานี้มีการเอาแมคโครไปตักหาดทรายออก ผลกระทบไม่ทราบว่าไม่เห็นกันได้อย่างไร กายภาพชายหาดเปลี่ยนแปลงชัดเจนมาก ถ้าชาวบ้านไปทำแบบนี้ในอุทยานแห่งชาติบ้างโดนจับแน่นอน ตามกฎหมายทรัพยากรชายฝั่งทะเล มาตรา 17 อธิบดีกรมทรัพยากร มีอำนาจที่จะสั่งระงับด้วย ผมได้อภิปรายในสภาไปแล้ว ตั้งกระทู้ถามก็แล้วหลายครั้งแต่ก็เงียบไม่รู้เกรงใจอะไรกับกรมโยธาธิการหรือ มท.1 ในเมื่อตนเองมีอำนาจเต็มในมือ ขอเรียกร้องให้กล้าแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ถ้ากล้าทำชาวบ้านจะชื่นชม ถ้าก้มหัวกับอำนาจไม่ถูกต้อง ก็จะเป็นที่ครหาและผมขอตำหนิไว้ที่นี้ด้วย มท.1 ก็ยึดอำนาจมา ไม่ได้มาจากประชาชน ศักดิ์ศรีจึงไม่ได้เท่า วราวุธ รมว.ว่าการกระทรวงทรัพย์เลย เพราะท่านมาจากการเลือกตั้ง”
ในช่วงท้ายของการอภิปราย ประเสริฐพงษ์ ฝากไปถึงผู้ว่าฯ สงขลาว่า เมื่อชาวบ้านไปนอนประท้วงกลับบอกไม่มีอำนาจ สะท้อนว่าการรวบอำนาจที่ส่วนกลาง แบบนี้ควรยกเลิกผู้ว่าฯไปเลยดีหรือไม่ เพราะเป็นข้าราชการต้องทำหน้าที่ เคารพกฎหมาย และฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาล ล่าสุด ยังอ้างโควิด 19 บอกว่าห้ามมั่วสุม ทั้งที่ข้อเท็จจริงคือการที่ชาวบ้านไปรวมตัวปกป้องบ้านเกิดของเขา ตนจึงอยากให้ยกเลิกโครงการที่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติสร้างความขัดแย้งแบบนี้และโอนงบก้อนนี้ออกไปทั้งหมดเลย