นาย ปรีดี ดาวฉาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ความท้าทายในการทำงานของตน แม้ว่าบรรยากาศยังไม่เป็นใจมากนัก แต่พื้นฐานเศรษฐกิจของไทยก็ยังแข็งแกร่ง ทั้งแนวรบภายนอกและภายใน ทำให้ไทยมีภาวะเศรษฐกิจที่ทนทาน แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคนี้ โดยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยไตรมาสที่ผ่านมา ไม่หดตัวมากนัก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาคเดียวกัน
คลัง แจง รัฐบาลถังแตก กู้เงินเพิ่ม 2.14 แสนล้านบาท จำเป็น เพื่อให้หนี้สาธารณะสมดุล
ทั้งนี้ อัตราการเติบโตของไทย ติดลบ 12.2% สิงคโปร์ ติดลบ 13.2% มาเลเซีย ติดลบ 17.1% จึงเชื่อว่าประเทศไทย ได้ผ่านพ้นสถานการณ์เลวร้ายที่สุดไปแล้ว เศรษฐกิจกำลังเริ่มจะพ้นจากจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 และอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ในปีหน้าจะขยายตัว 4-5%”
อย่างไรก็ตาม ยุทธศาสตร์เพื่อแก้ไขปัญหา เศรษฐกิจที่เกิดจาก โควิด19 เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศไทย เป็นเป้าหมายแห่งการลงทุนต่อไปในระยะยาว ประกอบด้วย
1 การประสานนโยบายและการตอบสนองที่รวดเร็ว โดยนายกรัฐมนตรี ได้ตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) ขึ้น เพื่อส่งเสริมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดย ศบศ.จะนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ดูแลนโยบายและกิจกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ ทำให้รัฐบาลสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ ได้รวดเร็วมีประสิทธิภาพ และทำให้การประสานงานระหว่างหน่วยงานของรัฐต่างๆ และกับภาคเอกชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
2 การสนับสนุนการลงทุนระยะยาว เพื่อผลักดันอนาคตของอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน กระทรวงการคลังก็ได้เน้นการใช้จ่ายด้านการลงทุน ในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ผ่านหน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจ และได้ส่งเสริมความร่วมมือของพันธมิตรภาครัฐและเอกชน เพื่อดึงดูดการลงทุน ซึ่งไม่ทำให้เกิดภาวะตึงตัว ด้านการเงินในงบ ประมาณเช่น โครงการพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และแผนแม่บทการลงทุนโครงข่ายการคมนาคม เพราะมีความสำคัญต่ออนาคตของอุตสาหกรรมต่างๆ ส่วนโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานรัฐบาล ได้จัดสรรเงิน 400,000 ล้านบาท ให้กับแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
3 การดำเนินงานด้านความยั่งยืน ด้านการเงิน เพื่อรับมือกับโควิด -19 ที่ทำให้งบประมาณที่จะใช้จ่ายมีข้อจำกัด จึงต้องใช้จ่ายอย่าง มีประสิทธิภาพ กระทรวงการคลัง ก็จะให้ความสำคัญ เรื่องความสมดุลระหว่างการใช้จ่ายและรายได้ เนื่องจากในขณะนี้ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ต่ำกว่า 60% แม้ ว่ามีการรับรู้การกู้เงิน 1 ล้านล้านบาทในทางบัญชีแล้วก็ตาม
อนึ่ง ไทยมีข้อกำจัดด้านงบประมาณ แต่ก็สามารถใช้กลยุทธ์ การกู้ยืมภาครัฐมาเป็นทางออกได้ ไทยอาจต้องหันไปพึ่งการกู้ยืมเมื่อจำเป็น แต่สิ่งที่สำคัญ คือ การมีมาตรการเศรษฐกิจ โดยไม่สละซึ่งวินัยทางการเงินการคลัง เพื่อที่จะทำเช่นนั้น ก็จะต้องทำให้แน่ใจว่ามาตรการต่างๆ สามารถส่งผ่านไปยังโครงการที่มีประสิทธิภาพและเป็นโครงการที่ต้องการให้เกิดขึ้น อย่างแท้จริง เพื่อส่งความช่วยเหลือไปถึงกลุ่มบุคคล ที่เป็นเป้าหมายได้
แพตริเซีย โต้ข่าว รัฐบาลถังแตก แจง กู้เงินเพิ่ม 2.14 แสนล้านบาท เพื่อสำรองเงินสด
ครม. ไฟเขียว คลัง กู้เงินจัดเต็ม 6.83 แสนล้าน สุดเพดาน เพื่อฟื้นฟู เศรษฐกิจไทย