รสนา โตสิตระกูล อดีตวุฒิสมาชิกกรุงเทพมหานคร ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ระบุว่าได้เธอได้ยื่นหนังสื่อถึงนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อธิบดีกรมศุลกากร เพื่อให้ดำเนินการยึดนาฬิกาหรูของ นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ นักธุรกิจชื่อดัง เพื่อนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้ตกเป็นของแผ่นดิน หลังพบว่าไม่ได้ผ่านพิธีศุลกากรอย่างถูกต้องและไม่ได้เสียภาษีนำเข้า โดยน.ส.รสนาระบุว่านี่เป็นครั้งที่ 2 แล้ว ที่เธอยื่นหนังสื่อถึงกรมศุลกากรเพื่อให้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าว หลังก่อนหน้านี้เคยยื่นหนังสือไปเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2561ที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ โดยภายน.ส.รสนาได้ระบุไว้ในโพสต์ว่า
“วันนี้ดิฉันได้ส่งหนังสือถึงอธิบดีกรมศุลกากรให้ดำเนินการริบนาฬิกาหรูที่ไม่ได้เสียภาษีนำเข้าให้ตกเป็นของแผ่นดิน โดยดิฉันส่งหนังสือทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ
ดิฉันเคยยื่นเรื่องดังกล่าวเป็นหนังสือถึงอธิบดีศุลกากรคนก่อนเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2561 แต่ไม่ได้รับคำตอบกลับ บัดนี้เมื่อป.ป.ช.มีมติชัดเจนว่า นาฬิกาดังกล่าวเป็นสมบัติของนายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว นาฬิกาดังกล่าวจึงตกทอดไปยังทายาทของนายปัฐวาท เมื่อมีผู้ครอบครองชัดเจน และเป็นนาฬิกาที่ไม่ได้ผ่านพิธีศุลกากรอย่างถูกต้อง คือเป็นการลักลอบนำเข้าโดยไม่เสียภาษี ดิฉันจึงทำหน้าที่ทวงถามอีกครั้งให้อธิบดีกรมศุลกากรปฏิบัติตามกฎหมายศุลกากรที่ต้องริบนาฬิกาเหล่านั้นให้ตกเป็นของแผ่นดิน
หนังสือถึงอธิบดีศุลกากรมีเนื้อหาดังนี้
“ตามที่เคยมีข่าวในสื่อมวลชนระบุว่า ทาง ป.ป.ช. แจ้งว่าไม่สามารถหาข้อมูลเจ้าของนาฬิกาที่พล.อ ประวิตร วงษ์สุวรรณ สวมใส่จากบริษัทผู้ผลิตในต่างประเทศได้เลย จึงได้ตรวจสอบวิธีใหม่ โดยการสอบถามไปยังตัวแทนจำหน่ายในประเทศ แต่ก็ได้คำตอบว่า นาฬิกาเหล่านั้นไม่ได้ซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย ทาง ป.ป.ช. จึงตรวจสอบต่อไปยังกรมศุลกากร เนื่องจากคาดว่านาฬิกาจะถูกนำเข้ามาผ่านทางศุลกากร แต่ก็ปรากฎว่าไม่พบข้อมูลใดๆ อีก ป.ป.ช เห็นว่า การจงใจไม่แสดงทรัพย์สินไม่ถือเป็นความผิดทางอาญา จึงอาจทั้งเสียเวลาและไม่ได้คำตอบอยู่ดี ดังนั้นจึงเห็นว่าควรยุติการพิจารณาเรื่องนี้ไปเลยดีกว่า และป.ป.ช มีมติต่อมาว่านาฬิกาทั้ง21 เรือนที่พล.อ ประวิตรสวมใส่เป็นนาฬิกาที่ยืมจากนายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว และได้คืนให้ทายาทเจ้าของไปหมดแล้ว
ป.ป.ช มีมติว่าการยืมใช้คงรูปไม่ต้องแจ้งในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่ง จึงถือว่าคดีดังกล่าวจบสิ้นลงในชั้นของ ป.ป.ช
อย่างไรก็ตาม การที่กรมศุลกากรได้ชี้แจงต่อป.ป.ช ว่าไม่พบข้อมูลใดๆเกี่ยวกับนาฬิกาดังกล่าว จึงแสดงว่านาฬิกาที่พล.อ ประวิตรยืมนายปัฐวาทมาสวมใส่เป็นนาฬิกาที่มีการลักลอบนำเข้ามาโดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร จึงเป็นนาฬิกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ศุลกากรต้องริบของนั้นไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่
ดังบัญญัติไว้ใน พ.ร.บ ศุลกากร พ.ศ 2560 มาตรา
242 ว่า “ผู้ใดนำเข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร หรือเคลื่อนย้ายของออกไปจากยานพาหนะ
คลังสินค้าทัณฑ์บน โรงพักสินค้า
ที่มั่นคง ท่าเรือรับอนุญาต
หรือเขตปลอดอากร โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานศุลกากร
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี
หรือปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ริบของนั้นไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่
ผู้ใดพยายามกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน”
จึงขอเรียนมายังอธิบดีกรมศุลกากรให้ดำเนินการริบนาฬิกาที่ไม่ได้เสียภาษีนำเข้าให้ตกเป็นของแผ่นดินโดยเร็วต่อไป และขอให้แถลงความคืบหน้าเรื่องดังกล่าวต่อสาธารณชนภายใน 30วัน”
ดิฉันหวังว่าอธิบดีกรมศุลกากรจะไม่ปล่อยให้คดีอื้อฉาวเรื่องนาฬิกาที่ลักลอบนำเข้ามาโดยหลบเลี่ยงการเสียภาษีให้เงียบหายไปกับสายลม แต่ต้องดำเนินการริบของที่หลบเลี่ยงการเสียภาษีให้ตกเป็นของแผ่นดินตามกฎหมาย ทั้งนี้เพื่อแสดงให้สาธารณชนเชื่อมั่นว่ากรมศุลกากรบังคับใช้กฎหมายกับประชาชนอย่างถ้วนหน้า และขอให้อธิบดีรายงานความคืบหน้าของการริบนาฬิกาหรูให้สาธารณชนได้รับทราบโดยเร็ว”
รสนา โตสิตระกูล
16 มิถุนายน 2563