นาย ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่มีทหารและหน่วยงานทางราชการหลายหน่วยงานได้มากดดันชาวบ้านริมคลองเปรมประชากรให้รื้อถอนบ้านเรือนที่ปลูกสร้างริมคลองออก แล้วทำการถมที่ดินปรับสภาพพื้นที่รุกล้ำเข้าไปในคลอง จนทำให้คลองเปรมประชากรมีสภาพความกว้างของคลองเหลือไม่ถึง 20 เมตร แล้วกรมธนารักษ์ก็ได้นำพื้นที่ดังกล่าวไปแสวงหาประโยชน์ให้เช่าก่อสร้างบ้านมั่นคงนั้น
โดยพื้นที่ดินริมคลองหรือริมตลิ่งดังกล่าวมีสภาพเป็นคลองสาธารณะตามธรรมชาติ ที่พลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกันตามกฎหมาย ดังนั้นการที่หน่วยงานรัฐนำดินมาถมรุกล้ำแล้วแสดงความเป็นเจ้าของย่อมเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งคลองสาธารณะถือว่าเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตาม ป.กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม.1304 (2) จึงต้องห้ามมิให้ใครเข้าไปยึดถือครอบครอง ตามประมวลกฎหมายที่ดิน ม.9 (1)(2) และ(3) มีความผิดตาม ม.108 ทวิ วรรคสอง และ ม.117 ม.118 แห่ง พรบ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย 2456 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 50 ลงวันที่ 18 มค.2515 และแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 14 พ.ศ.2535 การกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายชัดเจน
ทั้งนี้ ที่สำคัญในอนาคตช่วงฤดูน้ำหลาก การถมที่ดินแล้วนำมาก่อสร้างบ้านมั่นคงดังกล่าว จะเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้น้ำท่วมพื้นที่รังสิต เพราะสภาพคลองจะเป็นคอขวดจะเป็นปัญหาและอุปสรรคต่อการการระบายน้ำไม่ทัน น้ำก็จะเอ่อล้นท่วมชุมชน วัด โรงเรียน โรงงาน รวมทั้งมหาวิทยาลัยรังสิตอย่างแน่นอน
การที่หน่วยงานรัฐมุ่งแสวงหาประโยชน์โดยการนำพื้นที่ริมคลองหรือริมตลิ่งชายน้ำมาปรับถมที่ดิน แล้วนำไปขึ้นทะเบียนเป็นที่ดินราชพัสดุแล้วปล่อยให้สหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคงมาเช่า จึงเป็นการย้อนแย้งกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม อย่างชัดเจน
ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย และชาวบ้านในพื้นที่ทุ่งรังสิตจำนวนมาก จะยกโขยงกันนำความพร้อมหลักฐานไปยื่นร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. เพื่อสอบสวนเอาผิดอธิบดีกรมธนารักษ์ ธนารักษ์ปทุมธานี และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อการบุกรุกถมดินพื้นที่ริมคลองดังกล่าว เพื่อพิสูจน์ว่ากฎหมายจะมีบรรทัดฐานเดียวกัน หรือมีการเลือกปฏิบัติหรือไม่ โดยจะเดินทางไปยื่นคำร้องในวันพุธที่ 10 ก.พ.64 ณ สำนักงาน ป.ป.ช.
