สถาบันพระปกเกล้า เผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เชื่อใจผู้เชี่ยวชาญนำฝ่าวิกฤติโควิด-19 พร้อมให้รัฐบาลสอบผ่านในการแก้วิกฤติ
เมื่อวันที่ 15 พ.ค. สถาบันพระปกเกล้า โดยสำนักนักวิจัยและพัฒนา เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นเกี่ยวกับสภาพสังคม เศรษฐกิจ และการใช้ชีวิตของประชาชน ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยทำการสำรวจทางเฟซบุ๊ก และแอพพลิเคชั่นไลน์ ระหว่างวันที่ 3-13 พ.ค. กลุ่มตัวอย่าง 1,338 คนพบว่า
ประชาชน 44.2% ปรับตัวทำงานที่บ้านสลับกับที่ทำงาน 32.1% ทำงานที่ที่ทำงาน 23.7% ทำงานที่บ้าน ขณะที่เรื่องรายได้พบว่า 64.7% ยังทำงานเดิม รายได้เท่าเดิม 17.6 %ทำงานเดิม แต่เงินเดือน/รายได้ลดลง ส่วนที่เหลือมีทั้งที่ระบุว่าต้องหยุดงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างและไม่มีรายได้ กลุ่มถูกเลิกจ้างและไม่มีรายได้ สรุปมีผู้ได้รับผลกระทบเกี่ยวกับการทำงานที่ 27.1 %
ขณะที่การออมพบว่า 30.6% ยังออมเงินได้ตามปกติ 28.8% มีเงินพออยู่ได้แต่ไม่มีเงินออม 24.3% ต้องใช้เงินออมบางส่วนแต่ยังไม่ได้กู้ยืม 8.2% ไม่มีเงินออมและต้องกู้ยืมเงิน และ 8.1 % ต้องใช้เงินออมบางส่วนและมีการกู้ยืม สำหรับด้านรายจ่ายพบว่า 90.6% จ่ายเพื่อซื้อหน้ากากอนามัย 88.5% เพื่อซื้อเจล/แอลกอฮอล์
ทั้งนี้ 47.9% มีการกักตุนอาหาร 12.3 % สั่งอาหารสำเร็จให้มาส่งที่บ้าน อย่างไรก็ตาม 62.2 % ระบุว่า หลังโรคระบาดสถานภาพทางด้านเศรษฐกิจของครอบครัวจะกลับสู่สภาพปกติ 31.8 % แย่ลงกว่าเดิม และ 6% ระบุว่าน่าจะดีขึ้นกว่าเดิม
เมื่อถามถึงภาวะวิกฤตประชาชนจะฝากอนาคตไว้กับใคร 41.8% ฝากอนาคตไว้กับผู้นำประเทศได้ 45.7% ผู้ว่าราชการจังหวัด 34.3 % ผู้นำขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนเรื่องความไว้วางใจในการแก้ปัญหานั้นพบว่า 86.4 % ไว้วางใจให้ผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้น มีเพียง 4.3 % ไว้วางใจนักการเมือง 2.7 % ใครก็ได้ 2.6 % นักวิชาการ และ 2.2 % ข้าราชการ ส่วนการใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งทำให้ประชาชนถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพนั้น พบว่าประชาชน 80.8%ระบุว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำนั้น
ส่วนเรื่องการให้ความช่วยเหลือในยามวิกฤติ 46% ระบุว่าได้รับการช่วยเหลือจากรัฐทันท่วงที 92.6 % ระบุว่าคนไทยช่วยเหลือเอื้ออาทรกัน 87.5% ระบุว่าเมื่อประสบปัญหาพวกเขาก็มีความเข้มแข็งและเอาตัวรอดได้เสมอ 76.1% ระบุว่าในภาวะวิกฤติสามารถไว้วางใจคนในชุมชนตนเองได้ว่ายังมีความเอื้ออาทร ดูแลกันดี ขณะที่ 50% ระบุว่า ได้บริจาคเงิน สิ่งของให้หน่วยงานต่างๆ โดยตรง และชวนคนอื่นร่วมบริจาคด้วย รวมถึงการเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือสังคม
เมื่อถามถึงการให้ความสำคัญระหว่างสุขภาพกับปากท้อง โดยภาพรวมพบว่า 61.4% ให้ความสำคัญกับสุขภาพมากกว่า และ 35.7% ให้ความสำคัญกับปากท้องมากกว่า 2.9 % ไม่เห็นด้วย และเมื่อถามถึงความพึงพอใจต่อการทำงานของรัฐบาลพบว่า 64.9% พอใจในระดับ 6-10 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 ขณะที่ 10.6% ให้ 5 คะแนน และ 23.9% ให้น้อยกว่า 5 คะแนน 6.3%ให้ 0 คะแนน และ 9.8% ให้คะแนนเต็ม 10