วันที่ 17 มกราคม 2563 นาย สมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว “สมชาย แสวงการ” โดยระบุว่า…
“#อย่างงอย่าหลงกระแสลวงครับ
ขอให้เชื่อมั่นในความยุติธรรมของศาลรัฐธรรมนูญและความกล้าหาญของกกต
ในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งหรือกกตมีมติเสียงข้างมากส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคอนาคตใหม่คดีกู้ยืมเงิน 191 ล้านบาทเศษที่เป็นการฝ่าฝืน พรป.พรรคการเมือง พศ2560 มาตรา 62มาตรา 66 และมาตรา 72
ขณะที่ดูเหมือนจะมีใครบางคนพยายามปั่นข่าวสร้างกระแสความสับสนให้สังคมและมวลหมู่สมาชิกแฟนคลับว่าถ้าจะยุบพรรคอนาคตใหม่เพราะเงินกู้นั้น
ต้องยุบพรรคการเมืองอื่นๆด้วยเพราะกู้เงินแบบเดียวกับพรรคอนาคตใหม่
เรื่องนี้เป็นการอ้างข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่ตลกมาก
ดูไปเหมือนตั้งใจจะทำให้สังคมสับสน
หรือมีวัตถุประสงค์แอบแฝงช่วยไม่ให้ยุบพรรคอนาคตใหม่
ฉะนั้นที่อ้างว่าอ่านกฎหมายรู้ดูกฎหมายเป็น
ดูๆแล้วน่าจะเป็นพวกดูกฎหมายแบบงงงงมากกว่า
หรือว่าเพราะดูตอนเหนื่อยหลังจากวิ่งไล่ลุงไม่สำเร็จกระมัง
เพราะทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงนั้น
ยังคงเป็นเช่นนั้นและเปลี่ยนแปลงความยุติธรรมไม่ได้
เพราะชัดเจนว่าพรบประกอบรัฐธรรมนูญพรรคการเมือง2560กับพรบประกอบรัฐธรรมนูญ2550 แตกต่างกันในส่วนสำคัญมาก
ในการที่ผู้ยกร่างและผู้พิจารณากฎหมายตัด(7)ของมาตรา53 ซึ่งเป็นเรื่องรายได้อื่นๆของพรรคการเมือง
ที่เคยแอบใช้วิธีนิติกรรมอำพรางการจ่ายเงินลงขันธุรกิจการเมืองของบรรดานายทุนพรรคในรูปแบบเงินกู้มาตลอด
เรื่องนี้ทั้งกกตและศาลรัฐธรรมนูญมีพยานเอกสารบันทึกไว้ครบถ้วน
มิต้ต้องไต่สวนเพิ่มเติมอีก
ในะระหว่างการกพิจารณาร่างนั้น กรรมการร่างรัฐธรรมนูญเห็นตรงกันในประเด็นนี้ว่าพรรคการเมืองและนายทุนนักธุรกิจการเมืองมักสร้างปัญหานิติกรรมอำพรางแบบนี้
จึงตัดออกจากร่างพรบประกอบรัฐธรรมนูญพรรคการเมืองที่กกตเสนอร่างมา
มีการหารือในประเด็นนี้ชัดเจน ไม่ต้องสงสัยครับ
นอกจากนั้นในชั้นคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาพรบดังกล่าว มิได้ปรับปรุงตัดทอนเพิ่มเติมมาตรานี้แต่ประการใดอีก
และยังได้มีการบันทึกการสอบถามความเป็นมาของการตัดอนุมาตรานี้ในที่ประชุมโดยผู้บริหารกกตและตัวแทนกรธชี้แจงไว้ชัดเจนเช่นกันว่า
“ตัดอนุมาตรานี้เพราะไม่ให้พรรคการเมืองไปแอบทำนิติกรรมอำพรางในรูปแบบเงินกู้เช่นเดิมอีก”
การที่บางท่านเสนอต่อสังคมให้สับสนว่ามีพรรคการเมืองจำนวนมากกู้เงินแบบเดียวกันนั้น. นายทะเบียนต้องเสนอยุบแบบเดียวกันนั้น
ขอเสนอว่ากกตต้องพิจารณาเช่นเดียวกันกับกรณีสสสวถูกกล่าวหาว่าถือครองหุ้นสื่อมวลชน
เช่นเดียวกับกรณีที่นายธนาธร ถูกกกตและศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านายธนาธรถือหุ้นสื่อมวลชนบริษัทวีลัคมีเดียจริงทำให้ขาดคุณสมบัติการเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ขณะที่สสสวคนอื่นอยู่ในระหว่างไต่สวนและบางส่วนก็มีคำวินิจฉัยไปแล้วว่าการถือหุ้นบางอย่างเช่นร้านขายเครื่องเขียนสิ่งพิมพ์ มิใช่การถือหุ้นสื่อสารมวลชน
ส่วนกรณีที่อ้างว่าบางพรรคการเมืองมีการกู้เงินหลายสิบพรรคมากมายนั้น
หากกกกตทำการตรวจสอบแล้วก็จะพบว่าพรรคการเมืองส่วนใหญ่ที่ว่านั้นเป็นการกู้เงินตามพรบพรรคการเมืองเก่า(2550) การแจ้งต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองในพศ2561จึงยังคงจะต้องแจ้งเช่นนั้น
กรณีทำนองเดียวกันนี้ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยในกรณีสสสวถือหุ้นสื่อและหุ้นสัมปทานเมื่อ2554 ว่ามีมาก่อนและไม่มีการซื้อหุ้นเพิ่มนั้น
ไม่มีความผิด
กรณีนี้เทียบเคียงเช่นเดียวกัน และเป็นการกู้ยืมก่อนแก้ไขกฎหมายชัดเจน
ส่วนถ้าพรรคการเมืองใดมีการกู้เงินทำนิติกรรมอำพรางหลังจากมีพรบประกอบรัฐธรรมนูญพรรคการเมือง2560 มาตรา 62ที่ตัดอนุมาตราเรื่องรายได้อื่นๆออกแล้ว และเข้าข่ายทำสัญญาเงินกู้แบบนิติกรรมอำพราง
ก็ย่อมมีความผิด
กกตต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยให้ยุบพรรคเช่นเดียวกันกับพรรคอนาคตใหม่
เรื่องนี้ทำให้ชัดเจนก็เท่านั้น ใครถูกว่าไปตามถูกใครทำผิดก็ต้องรับผิด อย่าตะแบงตีความกฎหมายกันครับ
แต่บางพรรคการเมืองได้ฉลองวันเด็กแล้วต้องลุ้นว่าจะรอดพ้นตรุษจีนมั้ย
ที่ฝันมาแน่ๆคือไม่น่าจะได้อยู่ถึงฉลองวาเลนไทน์ครับ”