ครม. นัดพิเศษ อนุมัติ พ.ร.ก.กู้เงินฉุกเฉิน 3 ฉบับเยียวยาผลกระทบโรคโควิด-19 คาดใช้วงเงิน 10% ของจีดีพี ไม่ได้มาจากการกู้ทั้งหมด
3 เม.ย. 63 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษวันนี้ รับหลักการ พระราชกำหนด(พ.ร.ก.)กู้เงินฉุกเฉิน ทั้งสิ้น 3 ฉบับ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 2 ฉบับ และกระทรวงการคลัง 1 ฉบับ และมาตรการดูแลโครงสร้างระบบเศรษฐกิจ เพื่อเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะที่ 3 เพื่อดูแลเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ครอบคลุม 3 กลุ่ม ทั้งเกษตรกร ผู้ประกอบการ และตลาดเงินตลาดทุน โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณสัดส่วน ใกล้เคียงกับที่ประเทศอื่นๆ คือ ประมาณร้อยละ 10 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี ) แต่อาจจะมากกว่า หรือน้อยกว่า เพื่อรักษากลไกเศรษฐกิจให้เดินต่อไปได้ ทั้งนี้เมื่อคิดเป็นวงเงินร้อยละ10 ของจีดีพี ปัจจุบันอยู่ที่ 1.6 ล้านล้านบาท
ด้านนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ยืนยันว่า ร้อยละ 10 ของ จีดีพี. ไม่ได้มาจากการกู้ทั้งหมด ต้องพิจารณาเงินจากงบประมาณก่อน หากงบประมาณใช้ได้ดี การออก พ.ร.ก.กู้เงิน ก็อาจจะไม่ใช่ร้อยละ 10 ของ จีดีพี.
ทั้งนี้รายละเอียด ครม. นัดพิเศษ พิจารณามาตรการเยียวยาเศรษฐกิจไทยชุดที่ 3 ครอบคลุมช่วงเวลา 6 เดือน
1 เยียวยาภาคประชาชน ดูแลเกษตรกร และลูกจ้าง ลดภาระด้านสินเชื่อจากสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์เป็นการเพิ่มเติม
2 ดูแลกิจกรรมทางเศรษฐกิจช่วงหยุดชะงัก งบประมาณด้านสาธารณสุข ดูแลเศรษฐกิจในพื้นที่ภูมิลำเนา และภาครัฐจะเร่งลงทุนเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานประเทศ
3 ดูแลผู้ประกอบการ ดูแลทางด้านสภาพคล่องเพิ่มเติมผ่านช่องทางของ ธปท. เช่น
- พักเงินต้นและดอกเบี้ย ครอบคลุม SME ขนาดใหญ่ขึ้น โดย ธปท. จะขอออก พ.ร.ก. เพื่อออกซอฟท์โลนปล่อยสินเชื่อได้เอง คล้ายปี 2555 ที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ ซึ่งจะมีขนาดใหญ่กว่าการใช้แบงก์รัฐก่อนหน้านี้
- ธปท. จะขอออก พ.ร.ก. เพื่อซื้อตราสารหนี้ที่ครบกำหนดในระดับ Investment grade ได้โดยตรง
- ธปท.จะขอขยายเวลาคลุมครองเงินฝากจากที่จะลดเหลือ 1 ลบ. (จากเดิม 5 ลบ.) ใน ส.ค. 63 เป็น ส.ค. 64
- ธปท. ขอลดเงินนำส่ง FIDF ของสถาบันการเงินจาก 0.46% เหลือ 0.23% เป็นเวลา 2 ปี เพื่อให้สถาบันการเงินลดดอกเบี้ยในมากขึ้น